สงสัยตระกูล “จึงรุ่งเรืองกิจ” ในสายของ “นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” มารดา “ธนาธร” ประธานคณะก้าวหน้า คงต้องไปหาหมอดู หรือซินแสมาจับยามสามตาเสียแล้ว เพราะช่วงนี้ต้องบอกพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกครอบครัว “เจ๊สมพร” มาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ทีเดียว โดยเริ่มจากข่าว “สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ในคดียัดเงินสดใต้โต๊ะ 20 ล้านที่สำเร็จไปแล้ว จากเป้าที่จะยัด 500 ล้านบาท ตามมาด้วยกรณี “ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ” ในภาพการแจกทุนการศึกษาในมูลนิธิ “ไทยซัมมิทพัฒนา” ล่าสุดคู่แค้นทางคับแคบอย่าง “ปารีณา ไกรคุปต์” ก็ชงเรื่องให้ “สิระ เจนจาคะ” ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สอบความคืบหน้าคดีครอบครองที่ดินของนางสมพรที่เงียบฉี่ หลังจาก “น้องเอ๋” ได้ยื่นเรื่องไปจะ 2 ปีแล้ว ...๐ โดยเฉพาะคดีของ “สกุลธร” นั้น ต้องบอกว่าสร้างความสะเทือนอย่างมากในช่วงกลางสัปดาห์นี้ หลังจาก “สมชาย แสวงการ” ส.ว. ได้เปิดประเด็นมาตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” เจ้ากระทรวงยุติธรรมต้องออกมาชี้แจงกรณีดังกล่าว ไม่ต่างจาก “อิทธิพร แก้วทิพย์” โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ที่ต้องขนคณะชุดใหม่ถอดด้ามมาตั้งโต๊ะแถลง ข่าวชี้แจงไล่ที่มาที่ไปของคดีดังกล่าว งานนี้ คงเหลือเพียง “ตำรวจ” ภายใต้บังเหียนของ “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เท่านั้น ที่เมื่อไหร่จะออกมาไขข้อกังขาของสังคม ...๐ ที่น่าสนใจเข้าไปอีก ตามปกติบรรดาลูกหาบพรรคก้าวไกล หรือแม้แต่แก๊ง 3 คนของคณะก้าวหน้า เมื่อมีเรื่องใดเกิดขึ้นกับ “พ่อฟ้า” ก็มักออกมาปกปักปกป้อง แต่ คดีของ “สกุลธร” น้องชายแท้ๆ ของตี๋เอกครานี้กลับเงียบเป็นเป่าสาก ขนาด “อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ยังไม่เอ่ยสักแอะ กันเลยทีเดียว ....๐ สงสัยงานนี้เข้าเข้าตำรา “น้ำท่วมปาก” นั่นแล จึงทำให้บรรดาสาวกพากับหุบปากสนิท ไม่เว้นแม้กระทั่ง เกรียนคีย์บอร์ด แม้จะมีบางคนยังพยายามแถว่า “พี่” กับ “น้อง” นั้นเดินคนละเส้นทางต้องแยกจากไป แหม! สงสัยบรรดาเกรียนจะความจำสั้นเป็น “ปลาทอง” หากใช้ตรรกะนี้แล้ว ทำไมกรณี “พล.อ.ประยุทธ์-พล.อ.ปรีชา” จันทร์โอชา จึงตีขลุมไปได้เล่า นี่ยังไม่รวมถึงการ “โวยวาย” และ “ร้องแรกแหกกระเชอ" เสมอๆ ของประธานคณะก้าวหน้า และเลขาธิการคณะก้าวหน้าอย่าง “ปิยบุตร แสงกนกกุล” ที่เมื่อถูกฟ้องร้องหรือถูกแจ้งความว่าฝ่ายตรงข้ามหรือรัฐบาลกลั่นแกล้ง จนประดิดประดอยคำว่า “นิติสงคราม” ขึ้นมา แต่ทำไม “ธนาธร” กลับประกาศตามราวีและจะฟ้องร้องบรรดาผู้ที่เห็นต่างแล้วตามไปโห่ไล่ในระหว่างการหาเสียง อบจ.ด้วยเล่า อย่างนี้เป็นการใช้นิติสงครามด้วยหรือไม่อย่างไร ...๐ ขำไม่ออกอีกเรื่องหนึ่งคือ การแปรเปลี่ยนแปรสภาพของ “ม็อบราษฎร” ที่วันนี้คงอ้างว่าเป็น “ม็อบเด็ก” ไม่ได้เสียแล้ว เพราะแกนนำแต่ละคนก็เรียกว่าบรรลุนิติภาวะกันแล้ว ซึ่งเมื่อช่วงปลายเดือนที่แล้วในการชุมนุมที่ “กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์” ยัง มีการจุดธูปปลุกวิญญาณ “จอมพล ป. พิบูลสงคราม-พระยาพหลพยุหเสนา-ปรีดี พนมยงค์” กันอยู่หลัดๆ ล่าสุด กลับไปปลุก “ผีคอมมิวนิสต์” ตามทฤษฎี “มาร์กซิสต์-เลนินนิสต์” ขึ้นมาเสียฉิบ เล่นเอา “เลนิน-ประธานเหมา” ถึงขึ้นออกอาการเหวอกันเลยทีเดียว ที่สำคัญอาจทำให้ “สหรัฐอเมริกา” ตงิดได้นะจะบอกให้ ...๐ แต่ดูเหมือนแนวคิด “คอมมิวนิสต์” ครั้งนี้กลับทำให้บรรดาผู้ระเห็จอยู่ในต่างประเทศดี๊ด๊ากันเป็นทิวแถวออกมาสนับสนุนกันอย่างเต็มตัว ไม่ว่าจะเป็น “จรรยา ยิ้มประเสริฐ” ผู้ลี้ภัยคดี 112 ที่พำนักอยู่ในฟินแลนด์ กับ “ศรัณย์ ฉุยฉาย” หรืออั้ม เนโกะ ผู้ลี้ภัยในฝรั่งเศส ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทั้งคู่เพิ่งเปิดสงครามผ่านเฟซ ว่าด้วยเงินบริจาคกันอยู่ ช่างสวมวิญญาณค้อนกับเคียวได้แนบสนิทจริงๆ ...๐ คงเหมือนกับที่ “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ "เยาวชนปลดแอก" กำลังสำลักประชาธิปไตย? ซึ่งทิ้งท้ายได้น่าคิดว่า “บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย นิยมชมชอบคอมมิวนิสต์ แต่ดูเวลาลี้ภัยสิ ไม่เห็นนักเคลื่อนไหวสักคนลี้ภัยไปอยู่จีน เห็นลี้ภัยไปอยู่ยุโรปกับอเมริกาทั้งนั้น”555 …๐ ทิ้งท้ายด้วยข่าวโครงการลูกเมียน้อยอย่าง “ช้อปดีมีคืน” ซึ่งดูเหมือนนับวันยิ่งถูกทิ้งร้างเข้าไปทุกที ยิ่งเมื่อเปิดโครงการละครึ่งเฟสสองออกมาก็ยิ่งตอกย้ำชัด เพราะขนาดไทยเที่ยวไทยยังมีการเพิ่มจำนวนวัน ในขณะที่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐก็มีเพิ่มเงิน แต่ช้อปดีมีคืนกลับวงเงินหักภาษีเท่าเดิม โดยเฉพาะคนที่ไปติดเพดานเสียภาษีขั้นต่ำที่หักอย่างไรก็ไม่ถึง 3 พัน อย่าไปพูดถึง 3.5 พันบาท ตามคนละครึ่งเฟส 2 เลย งานนี้เลยฟันธงได้ว่าช้อปดีมีคืนอาจล้มหายตายจากไป แต่คนจะแห่ไปใช้ “คนละครึ่งเฟสสอง” กันทั้งเพล่ะพี่น้อง เพราะห้วงเวลามันได้พอดิบพอดี ...๐