โชว์พลังเลิกม.112 3นิ้วโหนวันรธน.ปลุกม็อบ/ส.ศิวรักษ์หยามบิ๊กตู่เชียร์ค้อนเคียว


เพิ่มเพื่อน    

 

"ส.ศิวรักษ์" โชว์วิสัยทัศน์เหรียญด้านเดียว หยาม "บิ๊กตู่" โง่กว่า "บิ๊กสุ" ถ้ารัฐบาลมีความจงรักภักดีจริง ต้องเลิกม.112 แล้วจะเกิดความยุติธรรมในสังคม เชียร์ 3 นิ้วร้องหาสาธารณรัฐค้อนเคียว ให้โอกาสเป็นคอมมิวนิสต์ "บิ๊กกวิ้น" กดรีโมต เรียกชุมนุม 10 ธ.ค. อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ท้าเลิก ม.112 แล้วจะเล่าให้ฟัง
    เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ นักเขียนและนักวิชาการอิสระ กล่าวในงานกิจกรรมแนะนำอนุสาวรีย์วีรชนพฤษภา 2535 ว่าอยากให้นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันนี้ได้เรียนรู้จากอนุสาวรีย์วีรชน 2535 และไม่ทำผิดพลาดเหมือน พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกฯ ซึ่ง พล.อ.สุจินดาเป็นคนเก่ง คนฉลาดมาก แต่หลงอำนาจจนเกิดหายนะ
    "ขอพูดตรงๆ ว่า พล.อ.ประยุทธ์คนปัจจุบันฉลาดไม่ได้เสี้ยวของ พล.อ.สุจินดา นอกจากโง่แล้วยังงก ถ้าเขาเรียนรู้จากสุจินดาบ้าง จะเห็นว่าการฆ่าประชาชนผิด วันนี้เขาขอเวลานานเกินไปแล้วจากเผด็จการ แล้ววันนี้มาอ้างว่าเป็นประชาธิปไตย ซึ่งก็เป็นประชาธิปไตยจอมปลอมที่ควรระลึกได้ ก่อนจะเป็นก็ควรถางทางให้เป็นประชาธิปไตยแท้จริง เคารพประชาชน แก้ไขรัฐธรรมนูญให้ราษฎรมามีส่วนร่วม ไม่ใช่ให้เนติบริกรรอบๆ มาร่าง ทำแค่นี้ก็จะเป็นการล้างบาป"
    เมื่อถามว่า ขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่ลาออกและประวิงเวลาผ่านกลไกสภา ทิศทางต่อไปจะเป็นอย่างไร นายสุลักษณ์เชื่อว่าการชุมนุมเรียกร้องจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ วันนี้ถ้าเขาฟังคำเรียกร้อง เอาใจเขามาใส่ใจเรา ฟังเสียงคนรุ่นใหม่บ้าง เชื่อว่าบ้านเมืองไปได้ เพราะบ้านเมืองนี้อยู่ได้ไม่ใช่ด้วยคนแก่อย่างเดียว ต้องอยู่กับคนรุ่นใหม่ ต้องฟังเขาด้วย แล้วจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้มาก ซึ่งคนรุ่นใหม่ไม่ได้เรียกร้องอะไรมาก นอกจากเสรีภาพ เสมอภาค ความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งเป็นพื้นฐานความเป็นมนุษย์
    "เรื่องเพียงเท่านี้ไม่ทำให้พวกเขา แต่ยังไปทำร้ายเขา มองว่าเป็นเรื่องน่าสงสาร และเกรงว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้น ซึ่งผมก็เชื่อว่าความรุนแรงจะไม่เกิดจากฝ่ายประชาชน โดยการเอาน้ำไปฉีดเขา ใส่สารพิษ แล้วเอาลูกปืนยิงเขา ก็เกิดความเดือดร้อน ผมขอเตือนรัฐบาลให้ใช้สันติประชาธรรม อย่าใช้ความรุนแรง แล้วเชิญกลุ่มผู้ชุมนุมมาพูดคุยกันเพื่อหาทางออก คนไทยเรามีออมชอมและสติปัญญาพอ แต่นายกฯ ควรใช้สติปัญญาบ้าง อย่าใช้ความดื้อรั้นโง่เขลาปกครองบ้านเมือง"
    ถามถึงกรณีตำรวจบังคับใช้ ม.112 กับแกนนำผู้ชุมนุมหลายราย นายสุลักษณ์ตอบว่า เคยพูดไว้ชัดเจนแล้วว่า ม.112 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเคยมีพระราชดำรัส การใช้ ม.112 เป็นการทำร้ายพระองค์ และเป็นการทำลายล้างสถาบัน และเมื่อรัชกาลที่ 10 เสด็จขึ้นครองราชย์ มีพระราชหัตถ์ถึงประธานศาลฎีกาให้ยุติคดีนี้  ถ้ารัฐบาลจงรักภักดีจริงๆ ก็ควรจะออกกฎหมาย ม.112 ถ้าไม่ยกเลิก ก็ต้องแก้ไข เพื่อให้ฟังขึ้น เช่น ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำผิดก่อนใช้ ม.112 ซึ่งคณะกรรมการนี้อาจมาจากกระทรวงยุติธรรมและสำนักพระราชวังก็ได้ อีกทั้ง ม.112 โทษขั้นต่ำ 3 ปี ฉะนั้นจึงต้องยกเลิกโทษขั้นต่ำ การทำเช่นนี้จะทำให้เกิดความยุติธรรมในสังคม
    ซักว่าได้เห็นข้อความบนกำแพงและถนนในพื้นที่ชุมนุมหรือไม่  เพราะอาจเข้าข่าย ม.112 นายสุลักษณ์เลี่ยงตอบว่า คนมีอำนาจ ถ้าคิดจะใช้อำนาจ อะไรก็เล่นงานได้หมด แม้ไม่มี ม.112 ก็ใช้มาตราอื่น ฉะนั้นแล้วคนมีอำนาจต้องใช้อำนาจที่เป็นธรรม ไม่ใช่ใช้อำนาจด้วยตัวเอง
อยากเป็นคอมฯ ก็เป็น
    เมื่อถามถึงกรณีแกนนำผู้ชุมนุมเสนอแนวคิดสาธารณรัฐและภาพค้อนเคียว นายสุลักษณ์กล่าวว่า ไม่เป็นไร ต่างคนก็ต่างมีความหมายต่างกัน ใครอยากเป็นมหาชนรัฐ ใครอยากเป็นคอมมิวนิสต์ก็ไม่เป็นไร แต่ควรให้โอกาสเขาแสดงออก ดีกว่าให้เขาไปซ่องสุม เช่น ประเทศอังกฤษ ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีคน 20 เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องการเป็นประชาธิปไตย ซึ่งเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ส่วนตนมองว่าประเทศไทยมีไม่ถึงขนาดนั้น ให้เขาแสดงออกไปเถอะ ไม่เป็นไร ถ้าเราเชื่อมั่นในวิถีทางปกครองของเรา ว่าการปกครองเป็นไปเพื่อสันติประชาธรรมจริงๆ
    เมื่อถามว่า รัฐบาลไม่ตอบรับ 1 ใน 3 ข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม จะนำไปสู่จุดที่ทุกคนกังวลหรือไม่ นายสุลักษณ์กล่าวว่า “รัฐบาลที่ปกครองแบบมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐบาลต้องรับผิดชอบแทนพระองค์ แต่ประยุทธ์เตะลูกบอลถวายในหลวง แล้วจะเรียกว่าจงรักภักดีได้อย่างไร จึงขอเตือนว่าถ้าประยุทธ์ยังมีสติปัญญาต้องปกป้องสถาบัน แต่นี่ไม่ปกป้อง และทำไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัว”
    ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคพลังประชารัฐ เป็นประธาน เพื่อศึกษาข้อเท็จจริง หลักเกณฑ์การบังคับใช้กฎหมายในการชุมนุมทางการเมือง โดยได้เชิญตัวแทนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ 5 แกนนำกลุ่มราษฎร นายพริษฐ์ ชิวารักษ์, น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล, น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์, นายอานนท์ นำภา และนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา เข้าให้ข้อมูลต่อกรรมาธิการเกี่ยวปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในการชุมนุมทางการเมือง นอกจากนี้ มีการเชิญผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.), ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.),  ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (ผบช.ส.) และประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เข้าชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายในการชุมนุมทางการเมือง
    โดยนายสิระกล่าวว่า วันนี้เป็นโอกาสที่ดีในการชี้แจงวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ และเป็นไปตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม ว่าจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน แต่ปรากฏว่าแกนนำผู้ชุมนุมทั้งหมดไม่ได้มาร่วม เนื่องจากต้องไปรายงานตัวรับทราบข้อกล่าวหาในคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
"กวิ้น-รุ้ง"รับทราบ ม.112
    “ส่วนฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะ ผบ.ตร. เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ท่านก็มารายงานตัวสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่รัฐสภา ซึ่งตึกฝั่งนั้นกับฝั่งนี้ก็ไม่ไกลกัน สมควรที่จะมาชี้แจงทางออกของประเทศ แต่ก็ไม่ได้มา และไม่ได้ชี้แจงเหตุผล หากไม่ใช้ความสำคัญ ถือว่าไม่รับผิดชอบ ตนจะเชิญ ผบ.ตร.มาเป็นการส่วนตัว เพื่อสอบถามว่าไม่ให้ความสำคัญอย่างไร” นายสิระกล่าว
    ขณะที่นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษก กมธ. กล่าวว่า ต้องขอชี้แจงว่าจากการประสานแกนนำกลุ่มราษฎรดังกล่าว การที่ไม่ได้มาเข้าร่วมวันนี้เป็นเพราะมีเหตุจำเป็น ไม่สามารถมาได้ ยืนยันว่าแต่ละคนไม่ได้ปฏิเสธที่จะไม่เข้าร่วม และยินดีที่จะมาชี้แจงในการประชุมครั้งต่อไป ดังนั้นที่ประชุมจึงได้มีมติเชิญแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมมาอีกครั้งในการประชุมครั้งหน้า อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากรรมาธิการประสบปัญหาไม่ได้รับความร่วมมือจากฝ่ายเจ้าหน้าที่เท่าที่ควร ตนขอเสนอให้มีการทำหนังสือเรียก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้มาชี้แจงแทน เพราะการเชิญนายกรัฐมนตรีมาพูดคุยอาจสามารถหาทางออกได้
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตาม วันนี้ฝ่ายตำรวจ ผบ.ตร. และ ผบช.น. ไม่ได้เดินทางมาด้วยตนเอง แต่มอบหมายให้ผู้แทนมาทำหน้าที่แทน โดยไม่มีการแจ้งเหตุผลที่ไม่สามารถมาด้วยตัวเอง กมธ.จึงเชิญตัวแทนฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจออกจากห้องประชุม เนื่องจากเห็นว่าเป็นฝ่ายปฏิบัติไม่สามารถตอบเรื่องนโยบายของผู้บังคับบัญชาได้ และมีมติเสนอเรื่องไปยังนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชาของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้รับทราบ จากที่ที่ประชุมมีมติให้มีการทำหนังสือเชิญนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล มาชี้แจงนโยบายในการจัดการกับผู้ชุมนุม รวมทั้งประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และผู้ชุมนุม ให้เข้ามาชี้แจงในวันที่ 16 ธันวาคม 2563 เวลา 13.00 น.เป็นต้นไป
    บ่ายวันเดียวกัน ที่กองบังคับการ?ปราบปราม?การกระทำ?ความผิด?เกี่ยวกับ?อาชญา?กรร?มทาง?เทคโนโลยี? (บก.ปอท.)? นายพริษฐ์  และ น.ส.ปนัสยาเดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่ บก.ปอท.ในความผิดตาม ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ตามหมายเรียกพร้อมทีมทนายความ
    ส่วนความเคลื่อนไหวการชุมนุมในปีหน้านั้น นายพริษฐ์กล่าวว่า การชุมนุมในปีหน้าจะดุเดือดขึ้น กระบวนการจะเข้มข้นมากขึ้นรวมถึงแพร่หลายเป็นวงกว้าง และจะทำให้เรื่องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เป็นเรื่องของทุกคน เพราะปีนี้เป็นเหมือนการปักธง พูดถึงปัญหาและทางออก แต่ปีหน้าจะไปให้ถึงแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
นัดชุมนุม 10 ธ.ค.
    ทั้งนี้ แฟนเพจเฟซบุ๊กแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม- United Front of Thammasat and Demonstration ได้โพสต์ข้อความนัดชุมนุม โดยระบุว่า “แนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ x Mob Fest ขอเชิญทุกท่านเข้าร่วมงาน “ยกเลิก 112 สิ แล้วเราจะเล่าให้ฟัง” ในวันที่ 10 ธันวาคม ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น. พบกับวงเสวนาวิชาการ นิทรรศการ ม.112 วงดนตรี ปาฐกถา และบูธต่างๆ มากมาย แล้วเจอกัน”
         ซึ่งต่อมา นายพริษฐ์ได้ออกมาโพสต์ข้อความเชิญชวนผ่านเฟซบุ๊ก เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ Parit Chiwarak พร้อมระบุว่า “มาร่วมแสดงพลัง #ยกเลิก112 ด้วยกันในวันพรุ่งนี้ เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป งานนี้มีทั้งเสวนา นิทรรศการ การแสดง และดนตรี ส่วนตัวผมจะขึ้นแสดงฉ่อยกับคณะลำตัดราษฎร จะฉ่อยเรื่องอะไรนั้น มาฟังกันนะครับ
    ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. ในฐานะโฆษก บช.น. พร้อมด้วย พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกันแถลงถึงมาตรการดูแลความเรียบร้อยการชุมนุมในวันที่ 10 ธ.ค. โดยพล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า ตามที่มีประกาศนัดหมายชุมนุม 2 จุด คือ 1.บริเวณหน้าองค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น น.ส.สุวรรณา ตาลเหล็ก ผู้แทนกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ได้ยื่นแจ้งการชุมนุมตั้งแต่เวลา 08.00-14.00 น. 2.บริเวณกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตั้งแต่เวลา 16.00-20.00 น. นายบรรพต ไชยราษฎร์ ตัวแทนผู้ชุมนุมเรียกร้องความเหลื่อมล้ำคนพิการ ได้ยื่นแจ้งการชุมนุมแล้ว ทั้งนี้ ทาง พ.ต.อ.ประสพโชค เอี่ยมพินิจ ผกก.สน.นางเลิ้ง ได้ขอให้ผู้จัดการชุมนุมทั้ง 2 แห่งปฏิบัติตามข้อกำหนดให้อยู่บริเวณทางเท้าไม่ลงมาพื้นผิวการจราจร ห้ามมีป้ายข้อความปลุกระดมยุยง ห้ามเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุม ห้ามชุมนุมระยะ 50 เมตร จากทำเนียบรัฐบาล ห้ามใช้เครื่องขยายเสียงเกินกว่าอัตรากำหนด ไม่เกิน 115 เดซิเบล และการชุมนุมจะต้องเป็นไปโดยสงบ ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น
     ส่วนการชุมนุมเสวนาที่บริเวณอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่ เนื่องจากเป็นพื้นที่ของเอกชน ยกเว้นแต่หากมีกลุ่มผู้ชุมนุมมาเป็นจำนวนมากและเคลื่อนขบวนไปยังพื้นที่สาธารณะ จะต้องมีการแจ้งขออนุญาตการชุมนุม โดยให้ บก.น.6 ลงพื้นที่ดูแลความสงบเรียบร้อย
    พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า ได้มีการดำเนินคดีกับแกนนำชุมนุมในพื้นที่ บช.น.ไปแล้ว 120 คดี ส่งพนักงานอัยการ 39 คดี อีก 81 คดีที่เหลืออยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวน ส่วนคดีมาตรา 112 เป็นการกระทำความผิดตามกฎหมาย จะมีการเร่งดำเนินการสืบสวนสอบสวนต่อไป สำหรับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. เวลา 21.00 น. ที่ทางกลุ่มการ์ดอาสาวีโว่ได้รื้อถอนทำลายทรัพย์สินนั้น ได้จับกุมดำเนินคดี 19 นาย นอกจากนี้ยังมีการทุบทำลายรถตู้ราชการเสียหาย 3 คัน ซึ่งได้แจ้งร้องทุกข์อีกส่วนหนึ่งไว้แล้ว
         ขณะที่ พ.ต.อ.กฤษณะกล่าวว่า แม้ว่าจะแจ้งการชุมนุมหากปฏิบัติผิดเงื่อนไขต้องถูกดำเนินคดี ซึ่งขณะนี้มีการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ขอให้มีการสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง หากเป็นกลุ่มเสี่ยงขออย่าให้มาชุมนุม ขอให้รับผิดชอบต่อสังคมด้วย
    ที่ สน.ลุมพินี นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือครูใหญ่ นายธานี สะสม และนายณวรรษ เลี้ยงวัฒนา พร้อม น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เข้าพบพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาฐานร่วมกันชุมนุมโดยไม่แจ้งจัดการชุมนุมและไม่จัดให้มีมาตรการป้องกันโรคอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จากกรณีการชุมนุมที่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา
    นายอรรถพลกล่าวว่า ในวันนั้นตนเพียงเดินผ่านไปในที่ชุมนุมตรงแยกราชประสงค์เพื่อไปฟังการปราศรัย ก่อนจะมีคนเชิญให้ขึ้นปราศรัย แต่จำหัวข้อไม่ได้ แล้วมาถูกหมายเรียกในคดีดังกล่าวโดยจะให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งตอนนี้รวมแล้วมีหมายเรียกกับหมายจับในคดีการชุมนุมทางการเมืองรวม 5 หมาย วันนี้มีของ สน.ลุมพินี 1 หมาย และช่วงบ่ายจะไปรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกในคดี ม.112 ที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ หลังจากที่เคยไปรายงานตัวในหมายเรียกคดี ม.116 ไปแล้วจากการชุมนุมที่สถานทูตเยอรมนี ทั้งนี้ ตนยังมีกำลังใจดี และในวันที่ 10 ธันวาคมนี้ จะไปร่วมกิจกรรมที่ จ.มหาสารคาม
    ขณะที่กลุ่มฟันเฟืองประชาธิปไตยออกแถลงการณ์เรื่องการถอนตัวจากการ์ดภาคีเพื่อประชาชน โดยมีสาระสำคัญคือ กลุ่มฟันเฟืองฯ รวมตัวกันเพื่อพบปะพูดคุยสร้างมิตรภาพ เพื่อนำไปสู่การทำสิ่งที่ก่อประโยชน์แก่สังคมส่วนรวม และเดินหน้าเรียกร้องประชาธิปไตยเคียงข้างเพื่อนนักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน ไม่ได้รวมตัวกันเพื่อเป็นการ์ดของการชุมนุมอย่างเป็นจุดมุ่งหมายหลัก อีกทั้งสมาชิกกลุ่มฟันเฟืองฯ ส่วนหนึ่งเป็นเพียงเยาวชนเท่านั้น.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"