เอกชนเสนอตั้งกองทุนพลังงานสร้างชาติ 2 ล้านล้านบาท


เพิ่มเพื่อน    

 

14 ธ.ค.2563 นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังงานประชุมเชิงปฏิบัติการ “คนพลังงานร่วมใจ สู่ทิศทางไทยในอนาคต” ว่ากระทรวงพลังงานได้จัดประชุมระดมสมองเพื่อจัดทำแผนบูรณาการพลังงานระยะยาว หรือ Thailand Integrated Energy Blueprint (TIEB) ที่มีความยืดหยุ่น มีเป้าหมายในระยะสั้น ระยะปานกลาง 5-10 ปี มากกว่าการวางแผนในระยะยาว 20 ปี รองรับการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิตอล และการใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไปจากผลกระทบของโควิด-19 ให้สอดคล้องกับความเป็นจริง น่าจะได้ข้อสรุปกลับมารายงานอีกครั้งใน 3 เดือนข้างหน้า และคาดจะแล้วเสร็จภายในเดือนเม.ย.2564 ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบเพื่อนำไปสู่แผนปฏิบัติต่อไป

เบื้องต้นกำหนดรับฟังความคิดเห็นแผนดังกล่าวช่วงเดือนมี.ค.2564 โดยไม่มีการพิจารณาเพิ่มสัดส่วนโรงไฟฟ้าถ่านหินจากที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย(พีดีพี) ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 แต่อย่างใด และจะพิจารณาปลดระวางโรงไฟฟ้าเก่าที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะมีส่วนในการลดปริมาณการสำรองไฟฟ้าที่มีสูงขึ้นถึง 30-40% จากผลกระทบโควิด-19 ซึ่งในอนาคตมีรถยนต์ไฟฟ้า(อีวี) รถไฟฟ้า 13 สาย และการเข้ามาของเทคโนโลยี 5G อาจส่งผลให้ปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงขึ้น
"ขณะนี้อยู่ระหว่างสำรวจโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศว่ามีจำนวนทั้งหมดเท่าไหร่ ทั้งโรงไฟฟ้าเก่าและโรงไฟฟ้าใหม่  มีกำลังการผลิตอยู่ที่เท่าใด เปิดใช้งานมาแล้วกี่ปี มีประสิทธิภาพในการทำงานเป็นอย่างไร เพื่อดูว่าจะต้องปลดระวางกี่แห่ง รวมถึงโรงไฟฟ้าอื่นด้วย​ ส่วนการพยากรณ์การใช้ไฟฟ้าใหม่น่าจะแล้วเสร็จประมาณต้นปี​2564 ซึ่งการประชุมครั้งนี้ยังไม่ได้มีการตั้งเป้าหมายชัดเจน  ถือเป็นการคิกออฟเพื่อแจกโจทย์ว่าพลังงานควรจะมีทิศทางอย่างไร”นายกุลิศ กล่าว

นายสมโภชน์ อาหุนัย รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)​ กล่าวว่า​ เบื้องต้นได้เสนอรัฐบาลให้จัดตั้งกองทุนพลังงานสร้างชาติ 2 ล้านล้านบาท รองรับการส่งเสริมอีวี ช่วยรัฐประหยัดพลังงานได้ปีละ 100,000 ล้านบาท กองทุนดังกล่าวก็ควรจะมาจากการออกพันธบัตรของรัฐบาล 30 ปี ในรูปแบบการระดมเงินตามความจำเป็นที่ควรใช้ เพื่อรัฐจะได้ไม่มีภาระในการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยในอนาคต

ทั้งนี้ นอกจากจะช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน(PM 2.5) ยังสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศในการนำมาใช้เปลี่ยนระบบเป็นอีวี 200,000 ล้านบาท และอีก 1.8 ล้านล้านบาทนำไปใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ อีกส่วนหนึ่งนำไปเยียวยาอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ขณะที่โรงกลั่นก็ต้องปรับตัวไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมีมูลค่าสูง

ปัจจุบันไทยมีการใช้น้ำมันดีเซลอยู่ที่ 55-60 ล้านลิตรต่อวัน และเบนซิน 20 ล้านลิตรต่อวัน หากอนาคตสามารถปรับเปลี่ยนไปใช้รถอีวี จะสามารถลดต้นทุนการนำเข้าพลังงานได้จำนวนมาก​ ซึ่งปัญหาการลงทุนของภาครัฐมีอุปสรรคเรื่องงบประมาณที่มีอยู่จำกัด ดังนั้นการตั้งกองทุนฯ จะทำให้สามารถนำเงินนี้มาใช้ประโยชน์ได้รวดเร็วขึ้น


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"