อดีตผกค.หนุนม.112 ซัดคิดล้มเจ้าแต่จะยกเลิกกม./3นิ้วบุกสน.ให้กำลังใจ


เพิ่มเพื่อน    

 

“เพนกวิน” แต่งชุดไทยทาปากไปให้กำลังใจเพื่อนผู้ประสบภัยมาตรา 112 ประชดต่อไปแม่ให้ค่าขนมก็อาจถูกหางเลขด้วย “จตุพร-นภสินธุ์” รายงานตัวจากกรณีเดินแฟชั่นที่สีลม ก่อนศาลเยาวชนอนุญาตให้ประกัน “นิพิฏฐ์” เตือนสติบอกที่ผ่านมาผู้ต้องหาไม่เคยได้ประกันตัว หมั่นไส้ "บิ๊กกวิ้น" บอกอนาคตมืดมน แนะทนายบอกความจริงให้น้องๆ เริ่มทำใจ อดีตสหาย "สมาชิก ผกค." สุดทนพวกจาบจ้วง ประกาศหนุนใช้ ม.112 ชี้มีผลดีกว่าผลเสีย ซัดมีนักการเมืองคิดล้มเจ้าทำผิด แต่กลับจะยกเลิกกฎหมาย
    เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 ธ.ค. ยังคงมีความต่อเนื่องในการรับทราบข้อกล่าวหาของกลุ่มผู้ชุมนุม โดยที่ สน.บางโพ น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือมายด์, น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ หรืออั่ว, นายทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี หรือฟอร์ด, นายชนินทร์ วงษ์ศรี หรือบอล และนายเกียรติชัย ตั้งภรพรรณ หรือบิ๊ก เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก มาตรา 112 จากการปราศรัยในการชุมนุมที่แยกเกียกกาย เมื่อวันที่ 14 ก.ย.
    น.ส.ภัสราวลีกล่าวว่า การบังคับใช้มาตรา 112 เห็นได้ชัดเจนว่ารัฐบาลมีจุดประสงค์ทางด้านการเมืองโดยเฉพาะ เพื่อต้องการให้ประชาชนเหนื่อยและกลัวกับโทษที่สูงของกฎหมายดังกล่าวที่ถูกบังคับ แต่ถึงอย่างไรการชุมนุมก็ยังดำเนินต่อไปแน่นอน รัฐบาลจนมุมจึงบังคับใช้ข้อกฎหมายดังกล่าว ซึ่งเราปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
    ส่วนช่วงบ่าย ที่ สน.ยานนาวา ก่อนที่ น.ส.จตุพร แซ่อึง อายุ 23 ปี และนายนภสินธุ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 16 ปี สมาชิกกลุ่มบุรีรัมย์ปลดแอก ที่จะเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกในคดี มาตรา 112 จากกรณีแต่งกายในชุดไทยไปร่วมกิจกรรมแฟชั่นโชว์ที่ถนนสีลมเมื่อวันที่ 29 ต.ค. ได้มีมวลชนจำนวนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดไทยมาให้กำลังใจ
    ขณะที่การ์ดอาสาวีโวลันเทียร์ (วีโว) กว่า 20 คน นำรถติดเครื่องขยายเสียงและเวทีมาตั้งคอยจัดกิจกรรมที่ถนนศรีเวียงหน้าโรงพัก โดยตำรวจฝ่ายปราบปรามกว่า 50 นายได้ตั้งแผงเหล็กล้อมไว้หน้าโรงพัก ส่วนตำรวจจราจรได้ปิดถนนมุ่งหน้าพระรามที่ 3 ไว้ 1 ช่องทาง ส่งผลให้ปริมาณรถหนาแน่น แต่ยังพอเคลื่อนตัวได้    น.ส.จตุพรกล่าวว่า กิจกรรมในวันนั้นไม่ได้มีเจตนาอื่นใด เพียงแค่อยากแต่งชุดไทยตามธีมงานแฟชั่นวีคเท่านั้น ซึ่งใครจะแต่งกายอย่างไรก็ได้ ไม่ได้เตี๊ยมกันมา ส่วนที่กางร่มก็เป็นการโปรโมตสินค้าที่จะเอามาขาย แต่กลับมีคนตีความไปเอง ยืนยันไม่กังวลพร้อมสู้คดี และจะให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
    ด้าน น.ส.คุ้มเกล้า ส่งสมบูรณ์ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า กรณีนี้มีผู้สนับสนุนรัฐบาลมาแจ้งความดำเนินคดีในข้อหามาตรา 112 ไว้ ผู้ต้องหาตามหมายเรียกจึงมาพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งในกรณีเยาวชนพนักงานสอบสวนจะนำตัวเยาวชนส่งศาลเยาวชนและครอบครัวกลางพิจารณาการปล่อยตัว ซึ่งพนักงานสอบสวนยืนยันจะปล่อยตัวกลับบ้านเหมือนผู้ต้องหาคดีเดียวกันในพื้นที่อื่น
    ขณะที่นายปิยรัฐ จงเทพ หรือโตโต้ แกนนำกลุ่มการ์ดอาสาวีโวกล่าวว่า ตอนนี้ได้นัดหมายกลุ่มการ์ดกับประชาชนมาให้กำลังใจสองผู้ต้องหา โดยจะมีกิจกรรมเล่นดนตรี ยืนยันจะไม่มีการปราศรัยหรือชุมนุมโจมตีใดๆ แต่จะเป็นการให้สัมภาษณ์เท่านั้น ซึ่งการแจ้งข้อหามาตรา 112 นั้น ในอดีตจะเป็นดุลยพินิจระดับอธิบดีดำเนินการ แต่ตอนนี้กลายเป็นผู้มีอำนาจในท้องที่สามารถแจ้งความได้ หากต้องการกลั่นแกล้งใครสักคนก็ไปแจ้งได้ ซึ่งสร้างผลกระทบต่อสถาบันโดยตรง ประชาชนจะกลายเป็นคู่ขัดแย้งกับสถาบันโดยตรง ซึ่งการแจ้งความลักษณะนี้จะแพร่ระบาดไปทั่วประเทศ โดยเราจะรณรงค์ให้เห็นถึงข้อเสียในเรื่องนี้
ทาปากแดงให้กำลังใจ
    ต่อมา นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำคณะราษฎร แต่งกายด้วยชุดไทยสีแดง พร้อมโปะแป้งทาปากด้วยสีจัดจ้านก่อนขึ้นกล่าวบนเวทีว่า มาเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ประสบภัยจากมาตรา 112 ในฐานะผู้ต้องคดีเดียวกันด้วย ซึ่งกฎหมายข้อนี้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ไม่มีอารยประเทศยอมรับ แม้กระทั่งการแต่งกายด้วยชุดไทย ซึ่งไม่เข้าใจว่าไปผิดกฎหมายข้อนี้ได้อย่างไร ปากก็บอกให้อนุรักษ์วัฒนธรรมไทย แต่พอแต่งชุดไทยก็ถูกคดี แม้ น.ส.อินทิรา เจริญปุระ หรือทราย แจกข้าวก็โดน ต่อไปหากแม่ตนเองให้ค่าขนมอาจโดนด้วยหรือไม่
    ขณะเดียวกัน น.ส.อินทิรา เจริญปุระ หรือทราย ได้มาร่วมให้กำลังใจพร้อมกล่าวว่า ยังสับสนว่าไปทำอะไรจึงถูกหมายเรียกข้อหามาตรา 112 ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรมากเป็นพิเศษ กลายเป็นว่าใครจะแจ้งความในความผิดฐานนี้ก็ได้หรือไม่ หลังจากนี้หากถูกหมายอีกก็ไม่กังวล เพราะมันไม่สมเหตุสมผล และยังคงเดินหน้าทำกิจกรรมต่อไป
    ที่ศาลเยาวชนเเละครอบครัวกลาง พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา ได้นำนายนภสินธุ์ ผู้ต้องหาความผิดตามมาตรา 112 และข้อหาอื่นๆ มายื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาตรวจสอบการจับกุมและมีคำสั่งตามมาตรา 71 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนฯ ประกอบ ป.อาญา มาตรา 143 (หมายควบคุมตัว) โดยผู้ต้องหาได้ยื่นคัดค้านการขอออกหมายคุมตัว ซึ่งหลังศาลพิเคราะห์คำร้องของพนักงานสอบสวนพร้อมคำคัดค้านแล้ว เห็นว่าคำคัดค้านการควบคุมตัวของตำรวจกรณีเป็นกระบวนพิจารณาชั้นตรวจสอบการจับกุม ซึ่งดำเนินการตามบทบัญญัติของกฎหมาย ไม่มีเหตุต้องไต่สวนตามร้องคัดค้านรวมสำนวนไว้
หลังจากนั้นผู้ต้องหาได้ยื่นขอปล่อยชั่วคราว โดยใช้ตำแหน่ง ส.ส.ของนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โดยศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวตั้งแต่ชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น หากผิดสัญญาปรับ 12,000 บาท ใช้ตำแหน่งประกัน นัดไปศูนย์ให้คำปรึกษาและแนะนำในวันที่ 18 ธ.ค.2563 พร้อมรายงานตัวรับทราบคำสั่งศาลวันที่ 1 ก.พ. 2564 เวลา 08.30 น.
    นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีการดำเนินคดีมาตรา 112 ในหัวข้อ “อย่าตายประชดป่าช้า” ว่าเห็นกลุ่มผู้ชุมนุมทยอยเดินทางเข้ามอบตัวกันทุกวัน โดยเฉพาะการมอบตัวตามข้อหามาตรา 112 อยากจะบอกน้องๆ ผู้ชุมนุมว่า ปกติความผิดตามมาตรา 112 ไม่ค่อยได้ประกันตัวหรอก หรือหากได้ประกันตัวก็จะต้องมีหลักทรัพย์วางเป็นหลักประกัน แต่ตอนนี้กลุ่มผู้ชุมนุมที่เดินทางเข้ามอบตัวเดินซดกาแฟ ดูดชาไข่มุกเดินขึ้นสถานีตำรวจกันแบบสบายๆ ชิวๆ มอบตัวเสร็จก็เดินทางกลับบ้านโดยพนักงานสอบสวนมิได้ควบคุมตัว นี่คือสิ่งที่แปลกไปจากเดิม ถ้ายังไม่รู้ก็รู้เสีย
    “น้องๆ กลุ่มผู้ชุมนุมบางคน เพิ่งเรียนกฎหมายอยู่ปี 3 บางคนเพิ่งจบมาปีสองปี ยังไม่รู้ว่าคำฟ้องหรือคำพิพากษาหน้าตาเป็นอย่างไร ผมนี่จบมา 40 ปีแล้ว ในช่วง 40 ปีนี่ผมใช้กฎหมายมาตลอด เห็นเพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ แต่งกายเป็นผู้หญิง ใส่ชุดแดง ทาปากแดงไปเชียร์ผู้ที่มามอบตัวแล้วผมหมั่นไส้ นี่ถ้าให้ผมเป็นทนายความว่าความให้ ผมยังนึกไม่ออกว่าจะสู้คดีอย่างไรจึงจะชนะ ใครเป็นที่ปรึกษากฎหมายหรือเป็นทนายความให้น้องๆ ควรเคารพวิชาชีพกฎหมาย บอกน้องๆ ไปตามจริงเถอะว่ากำลังจะเผชิญกับอะไร เมื่อมอบตัวแล้วต่อไปก็ต้องไปอัยการ ไปศาล ไปเรือนจำ หรือดีหน่อยอาจได้กลับบ้าน วัฏจักรของคดีความมันไม่หนีไปจากนี้หรอก อย่าตายประชดป่าช้าเลย ไม่มีประโยชน์หรอก คนที่เชียร์อย่างดีก็ทำได้เพียงไปวางดอกไม้จันทน์แล้วกลับบ้าน ดีขึ้นไปหน่อยก็ไปช่วยลอยอังคาร แล้วต่างก็กลับบ้าน บ้านใครบ้านมัน แค่นั้นแหละ” นายนิพิฏฐ์ระบุ
ถามน้องๆ บริสุทธิ์ใจไหม
นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวว่า รู้สึกกังวลใจ เพราะเห็นชัดว่าเป็นการใช้กฎหมายในลักษณะเหวี่ยงแห ตีความกว้างขวางเกินตัวบทกฎหมาย ซึ่งเดิมทีการบังคับใช้กฎหมายมาตรานี้ก็มีปัญหาอยู่แล้ว ซึ่งการดำเนินคดีตามมาตรา 112 เป็นที่วิจารณ์มากในแง่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและถูกจับตาจากนานาชาติ จนทำให้ไม่มีการใช้กฎหมายนี้มาระยะหนึ่ง กระทั่งมีการชุมนุมทางการเมืองของนักศึกษาและประชาชนอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้กฎหมายมาตรานี้ถูกนำมาใช้อีกครั้ง ที่น่าสังเกตคือ การดำเนินคดีในระลอกนี้ใช้การออกหมายเรียกมาก่อน ไม่ได้จับกุมคุมตัวทันทีเหมือนที่ผ่านมา ต้องตั้งคำถามไปถึงรัฐบาลด้วยว่า กำลังใช้กฎหมายมาตรา 112 เพื่อกลั่นแกล้งผู้ชุมนุมและใช้เป็นเกราะกำบังตัวเอง และขอฝากย้ำไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกครั้งว่า การใช้ดุลพินิจเพื่อดำเนินคดีควรต้องเป็นไปตามตัวบทกฎหมาย ขอให้คำนึงว่าท่านคือผู้ดำรงไว้ซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรีของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ มิใช่ผู้พิทักษ์ทรราชอย่างนี้
     ส่วน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้ากลุ่มไทยภักดี กล่าวในเรื่องนี้ว่า หลักการกฎหมายคนทำผิดก็ต้องผิด สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้เข้าใจว่าประชาชนตื่นตัวในการไปแจ้งความดำเนินคดี ส่วนผู้ต้องหาอาจเป็นเด็ก คิดว่าศาลก็จะเป็นพิจารณาลงโทษตามความเหมาะสม กฎหมายมีข้อกำหนดอยู่แล้ว ส่วนที่แกนนำกลุ่มราษฎรจะไปแจ้งความกลับตามกฎหมายอาญา มาตรา 116 หลังจากกลุ่มไทยภักดีออกแคมเปญเชิญชวนคนไปแจ้งความเอาผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 กับคนที่ใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมต่อสถาบันนั้น ก็อยากให้กลุ่มนักศึกษาไปอ่านรัฐธรรมนูญมาตรา 50 ที่กำหนดว่า บุคคลมีหน้าที่ในการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การปกครอง ฉะนั้นเมื่อสถาบันเบื้องสูงถูกจาบจ้วง มันเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องปกป้องรักษา
       “ผมเชื่อว่าหัวใจของผมบริสุทธิ์ ผมจงรักภักดีจริง และอยากเห็นประเทศชาติเจริญก้าวหน้า สังคมสงบสุข ฉะนั้นทุกการกระทำของผมมันมีเหตุผล ในมุมกลับกันถามจริงๆ หัวใจน้องๆ มีความจริงจัง จริงใจหรือเปล่าที่บอกปฏิรูปสถาบัน หรือเป็นคำพูดสวยหรู แต่พฤติกรรมคำพูดเต็มไปด้วยคำหยาบคาย ฉะนั้นถ้าน้องๆ จริงจัง จริงใจ ก็อย่าไปกลัว” นพ.วรงค์กล่าว
    ก่อนหน้านี้ นพ.วรงค์พร้อมคณะเข้ายื่นหนังสือต่อรัฐมนตรีดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เรียกร้องให้ รมว.ดิจิทัลฯ เป็นเจ้าภาพปฏิรูปโซเชียลมีเดียต่อสภาผู้แทนราษฎร โดยตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ศึกษาและหาทางออกในการแก้ไขปัญหา แล้วออกเป็นพระราชบัญญัติปฏิรูปโซเชียลมีเดีย หลังพบว่ามีการใช้สื่อโซเชียลสร้างกระแสข่าวปลอมในหมู่ประชาชน รวมถึงนำไปสู่การล้มล้างสถาบัน โดยกำหนดให้เร่งดำเนินการเสนอเรื่องนี้ต่อสภาใน 1 เดือน หากครบเวลายังไม่มีการดำเนินการใด กลุ่มจะยกระดับการเรียกร้องต่อรัฐมนตรี
อดีต ผกค.หนุนใช้ ม.112
    วันเดียวกัน เวลา 13.00 น. ณ  บริเวณวัดบ้านอ้อมแก้ว ต.ก้านเหลือง อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ นายอานนท์ แสนน่าน ผู้ริเริ่มก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานเครือข่ายหมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่นเรารักประเทศไทย เป็นประธานเปิดงาน "รวมพลังอดีตสหาย ผกค.ผู้ร่วม พัฒนาชาติไทยปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์" โดยมีนายศักดิ์ชาย พรหมโท ประธานกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.), พ.ท.พิสิษฐ์ ชาญเจริญ ประธานที่ปรึกษาเครือข่ายหมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่นเรารักประเทศไทย, นายปิยะ ผูกจิต อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ประธาน ผรท.ภาคอีสานตอนใต้ และนายโยธิน ลาภเงินเฉลิม, นางรังสิณี  แก้วสมุทร นายสมปอง สมภารเพียง ซึ่งเป็นอดีตสหายและผู้นำกลุ่มสมาชิกอดีต ผกค. พร้อมด้วยสมาชิกแต่ละเขตงานจำนวนมากร่วมกิจกรรมในครั้งนี้
    นายอานนท์เปิดเผยว่า เนื่องจากมีกลุ่มบุคคลจาบจ้วงต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ และมีการโจมตีมาตรา 112 ว่าเป็นกฎหมายที่มีปัญหาปิดปากประชาชน ซึ่งตนมองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกล่าวหาที่ไม่เป็นความจริง ซึ่งในขณะนี้ประเทศต่างๆ ทุกประเทศก็มีกฎหมายให้ความคุ้มครองประมุข ถ้ามีการไปกระทำการที่จาบจ้วง และยังมีกลุ่มบุคคลไปร้องเรียนองค์การสหประชาชาติ (UN) ให้สนับสนุนการยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งถือเป็นการชักศึกเข้าบ้าน กลุ่มบุคคลเหล่านี้กำลังนำมาตรา 112 มาเล่นการเมือง เพื่อสร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง เราจำเป็นต้องออกมาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และสนับสนุนการใช้มาตรา 112
    ด้านนายศักดิ์ชาย พรหมโท ประธานกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย(ผรท.) เปิดเผยว่า ส่วนใหญ่สมาชิกที่มาร่วมกิจกรรมวันนี้จะเป็น "อดีตสหาย" สมาชิก "พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)" ที่เคยได้รับเงินสนับสนุนเยียวยาจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาตรา 112 มีสองมูลความผิด หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และอาฆาตมาดร้าย สำหรับคนปกติคือคดีหมิ่นประมาทและคดีขู่ฆ่าเอาชีวิต ในเมื่อคนธรรมดาสามัญกฎหมายก็ยังต้องคุ้มครองหากมีมูลฐานความผิดเดียวกัน แล้วทำไมองค์พระประมุขกฎหมายจะไม่คุ้มครอง มีนักการเมืองที่มีความคิดล้มเจ้า เข้าไปร่วมการชุมนุมและสนับสนุนเงินทุนแก่แกนนำปลดแอก ตัวเองก็ยังฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาทได้ แล้วเหตุไฉนจะยกเลิกมาตรา 112 จะให้พระเจ้าแผ่นดินได้รับความคุ้มครองน้อยกว่าตนเอง จะได้รังแกพระเจ้าแผ่นดินได้ตามอำเภอใจเช่นนั้นหรือ
    "ที่ผ่านมาการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมักเกิดจากการใช้ข้อความอันเป็นเท็จ โกหก ใส่ร้ายป้ายสีแทบทั้งสิ้น ไม่ได้นำความจริงมาพูดอย่างตรงไปตรงมา การแอบอ้างว่าให้ยกเลิกมาตรา 112 แล้วจึงจะพูดหรือวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องที่เป็นจริง เพราะคนที่จ้องจะใส่ร้ายสถาบัน  โพนทะนา โฆษณา ทำสงครามไซเบอร์ล้มเจ้าไม่หยุดหย่อน พวกที่เรียกร้องเรื่องให้ยกเลิกมาตรา 112 นี้ ล้วนแต่ปากว่าตาขยิบ มีผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะตนเองกระทำผิดมาตรา  112 หรือสนับสนุนผู้คิดล้มเจ้า แต่กลับมาเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 หากมิได้หมิ่นประมาทหรืออาฆาตมาดร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ จะต้องเดือดร้อน กินปูนร้อนท้องไปทำไมเล่า การบังคับใช้มาตรา 112 ส่งผลดีต่อสังคมมากกว่าผลเสีย ในปัจจุบันที่เห็นชัดเจนก็พบว่ามีการกระทำความผิดชัดแจ้ง ไม่ได้มีการกลั่นแกล้ง พวกเราชาว ผรท. อดีตสหาย ผกค.เก่า ขอสนับสนุนการบังคับใช้มาตรา 112 และต่อต้านการยกเลิกใช้กฎหมายดังกล่าว" นายศักดิ์ชายกล่าว.

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"