ที่ว่าขาดทุน 'แค่เงา' ตัวเงิน


เพิ่มเพื่อน    

      ตัวเลข "๘๗๙,๔๑๙ ล้านบาท"

      ที่แบงก์ชาติเปิดเผย......

      เป็นตัวเลข "ขาดทุนสะสม" ในปี ๒๕๖๐ อันเป็นตัวเลขเปิดเผย "ประจำสัปดาห์"

      กำลังถูก "บางคน-บางพวก"......

      นำไปแปลงเป็น "ตัวเลขหายนะ" แล้วพูดจาส่งสัญญาณทำนอง

      "ต้มยำกุ้ง รอบ ๒ มาแล้ว" นั้น

      ผมว่า การพูดอย่างนั้น ทั้งไม่ถูกต้องตามเป็นจริง และทั้งไม่เหมาะ-ไม่ควร ด้วยประการทั้งปวง

      มีอคติกับแบงก์ชาติ หรือหมั่นไส้..เกลียด..อิจฉา "รัฐบาล คสช." อยากให้เจ๊งไปไวๆ ก็เอากันไป สุดแต่ละใจคน

      แต่การหยิบตัวเลข "แบงก์ชาติขาดทุนสะสม" ที่เป็นเรื่องปกติตามระบบบัญชี

      มาสรุปเป็นลางหายนะล่มจมประเทศเหมือนปี ๔๐ นั้น

      ผมว่า ตอนนั้นกับตอนนี้ มันก็คนละเรื่องกันเลย!

      ต้มยำกุ้ง......

      มาจากหมดตูด เงินเกลี้ยงประเทศ

      เงินสำรองระหว่างประเทศ ที่เคยมีหลัก "หลายหมื่นล้านดอลลาร์" เหลือติดก้นกระเป๋าประเทศแค่ "หลักพันล้าน"

      เพราะเอาไป "เก็งกำไรค่าเงิน" จนหมด!

      แต่ที่ว่า "ขาดทุนสะสม" ตอนนี้........

      พูดกันตรงๆ อาจหมั่นไส้ แต่นี่คือความจริง

      เพราะประเทศไทยขณะนี้ มี "เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ" ด้วยสกุลเงินต่างๆ มากมาย

      เรียกว่าระดับ "แสนล้านดอลลาร์"

      เมื่อเงินนอกไหลเข้ามาก ทั้งการลงทุนไหลเข้ามามาก แบงก์ชาติต้องซื้อดอลลาร์เข้าเก็บมาก

      เพื่อไม่ให้เงินบาท "แข็งเร็ว" ไปนัก!

      ไม่งั้นเศรษฐกิจ-อุตสาหกรรม "ภาคส่งออก" จะเดือดร้อนกันกว่านี้

      นั่นก็คือ "ตัวเงินทุน" คงเดิม.....

      แต่ "ตัวเงา" คือตัวกำไรหรือตัวขาดทุน อันมาจากอัตราแลกเปลี่ยน จะผันแปร "ขึ้น-ลง" ตามกระแส

      ตอนนี้ เราส่งสินค้า "ออกไปขาย" มากกว่านำ "สินค้าทุนเข้ามา" จากนอก

      เงินบาทจึงแข็งโด่.....

      แบงก์ชาติ ถือเงินสกุลนอกไว้มาก เมื่อบาทแข็ง ด้วยอัตราแลกเปลี่ยน แบงก์ชาติจึงถือว่า "ขาดทุน" ในตัวเงา

      ส่วน "ตัวเงิน" ยังอยู่คงเดิม

      คอยดูเหอะ สหรัฐฯ กำลังจะขึ้นดอกเบี้ยอีก เดี๋ยวต่างชาติก็แห่ขายบาท ขนดอลลาร์ออกไป

      เงินบาทก็จะอ่อน........

      ทีนี้แหละ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยที่มีตุนไว้มหาศาล

      ขาดทุนสะสมไปเท่าไหร่ จะพลิกกลับเป็นกำไรเท่านั้น หรือจะกำไรมากขึ้นไปอีก!

      สังเกตกันง่ายๆ ถ้าไทย "ขาดดุลเดินสะพัด" เมื่อไหร่ ก็รู้ไว้เลย สัญญาณดอลลาร์แข็ง-บาทอ่อนมาแล้ว

      เพราะการขาดดุลเดินสะพัด หมายถึง "การลงทุน" ภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรมในประเทศ เริ่มจริงจังแล้ว

      ด้วยการนำเงินที่ตุนกันไว้ ไปลงทุนด้วยการสั่งซื้อ "วัตถุดิบ-เครื่องจักร" จากต่างประเทศเข้ามาเพื่อผลิตใหม่และผลิตเพิ่มน่ะซี

      ตานี้แหละ คนต้องการดอลลาร์มาก ดอลลาร์ก็จะแข็งขึ้นไป ๓๓-๓๕ บาท อีกแน่

      แบงก์ชาติ ซึ่งมีดอลลาร์เป็นภูเขา

      "เงา" คือกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จะสะท้อนให้แบงก์ชาติ กำไรจากเงินทุน กระดุมปลิ้น!

      พูดกันตรงๆ ขาดทุนสะสมแค่ ๘ แสนล้าน สะเหล่อ ที่ใครจะนำไปโพนทะนาในทางว่ากล่าวใดๆ

      อายเขาน่ะ......

      จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไม่ยิ่งกว่าหรือ เพราะประเทศเหล่านั้น เทียบกันแล้ว

      เรามีดอลลาร์ แค่กระสอบๆๆๆ

      แต่ของเขา มีดอลลาร์เป็นโกดังๆๆๆ........

      ด้วยดอลลาร์ในระบบเดียวกันอ่อน เราขาดทุนด้วยฐานเงินกระสอบ เสือกโวยวาย

      ไม่อายพวกเงินโกดังมื้อนี้ แล้วจะไปอายมื้อไหน?

      ถ้าจ้องหาเหตุถล่มแบงก์ชาติ เป็นการตีวัวกระทบคราดไปถึงรัฐบาล คสช.ละก็

      ต้องจ้องดูที่ "เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ" ว่ามีเท่าไหร่ เหลือเท่าไหร่ และลดลงถึงจุดเสียวไส้หรือเปล่า?

      ไม่ใช่ดูจากกำไร-ขาดทุนเงินสะสมทางบัญชี!

      วัน-สองวันก่อน "คุณจันทวรรณ สุจริตกุล" ผู้ช่วยผู้ว่าการฯ แบงก์ชาติ ท่านอธิบายไว้ชัดเจน

      "ประชาชนอย่าตกใจเกินเหตุ กับผลขาดทุนสะสมของ ธปท. ตามกระแสที่แชร์กันตาม social media

      เพราะมีข้อเท็จจริง และความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนหลายประการ

      ทั้งนี้ ยืนยันว่า แบงก์ชาติไม่ได้เก็งกำไรค่าเงิน........

      โดยแบงก์ชาติเข้าไปซื้อเงินตราต่างประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วเกินควร

      จนอาจเป็นผลเสียต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยที่ยังเปราะบาง

      เมื่อแบงก์ชาติซื้อเงินตราต่างประเทศแล้ว ก็บริหาร 'เงินสำรองระหว่างประเทศ' ด้วยความรอบคอบ

      โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ระยะยาว และเปิดเผยตัวเลข 'ฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศ' ทุกสัปดาห์

      นอกจากนี้ เงินสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น

      เป็นผลมาจาก เงินตราต่างประเทศที่ 'ไหลเข้ามาในประเทศไทยมาก'

      ทั้งจากการ 'เกินดุลบัญชีเดินสะพัด' สูงต่อเนื่องมาหลายปี และ 'การเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ'

      เมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น.......

      จึงขาดทุนจากการตีราคา (valuation loss) หรือการขาดทุนทางบัญชี

      และในทางตรงข้าม ถ้าเงินบาทอ่อนค่าลง เงินสำรองฯ ที่ตีมูลค่าเป็นเงินบาท ก็จะเพิ่มขึ้น (valuation  gain) หรือมีกำไรทางบัญชี

      ทั้งนี้ ณ สิ้นปี ๒๕๖๐ แบงก์ชาติมีเงินสำรองระหว่างประเทศ รวมฐานะการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าประมาณ ๒.๔ แสนล้านดอลลาร์

      เมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น ๑ บาท เทียบกับเงินดอลลาร์ ธปท.จะขาดทุนจากการตีราคาทันที ๒.๔ แสนล้านบาท 

      ในทางตรงกันข้าม.....

      ถ้าเงินบาทอ่อนค่าลง ๑ บาท แบงก์ชาติก็จะมีกำไรจากการตีราคาทันที ๒.๔ แสนล้านบาท โดยไม่ต้องทำอะไรเลย

      นอกจากนี้......

      เงินสำรองระหว่างประเทศต้องเก็บอยู่ในรูปเงินตราต่างประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยมีเงินตราต่างประเทศเพียงพอ

      สำหรับรองรับ "การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ" การไปลงทุนในต่างประเทศ "ของคนไทย"

      และเป็น "กันชน" รองรับการไหลออกของเงินทุน ซึ่งเกิดขึ้นได้ จากทั้งโดยนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติ

      และปัจจุบัน ......

      เงินสำรองฯ ของไทยอยู่ในระดับมั่นคงเพียงพอ ซึ่งต่างจากสถานการณ์ในช่วงปี ๒๕๔๐

      ขณะที่เงินสำรองฯ ที่แบงก์ชาติซื้อเข้ามา ยังอยู่ในรูปของเงินตราต่างประเทศ

      ไม่ได้เสื่อมคุณภาพลงเมื่อเวลาผ่านไป เหมือนกับสินค้าเกษตรหรือสินค้าโภคภัณฑ์ ตามที่มีการนำไปเปรียบเทียบ

      โดยมูลค่าของเงินสำรองระหว่างประเทศในรูปเงินบาท จะเปลี่ยนแปลงได้ ทั้ง 'เพิ่มขึ้นและลดลง' ตามอัตราแลกเปลี่ยน     

      การขาดทุนจากการตีราคาทางบัญชี ไม่ได้แปลว่า เงินสำรองฯ ที่แบงก์ชาติถืออยู่ จะด้อยค่าลงเรื่อยๆ จนสร้างปัญหาให้แก่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจประเทศ"

      เอ้า....เพื่อความมั่นใจ "ประเทศไทย" ไม่เจ็บ-ไม่จน-ไม่เจ๊ง "วิกฤติต้มยำกุ้ง" ไม่เกิดอีกแน่นอน

      เพราะไทยเวลานี้ .......

      ในจำนวน ๑๙๓ ประเทศในโลก ฐานะการเงินอยู่ใน "อันดับ ๑๒" ของโลก เชียวนะ

      ๑.จีน 3,235,895 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

      ๒.ญี่ปุ่น 1,264,283 ๓.สวิส 795,100    

      ๔.ซาอุฯ 488,900 ๕.รัสเซีย 454,000   

      ๖.ไต้หวัน 451,500 ๗.ฮ่องกง 431,400

      ๘. อินเดีย 421,721 ๙.เกาหลีใต้ 395,800    

      ๑๐.บราซิล 381,056  ๑๑.สิงคโปร์ 279,899  

      ๑๒.ไทย 213,277.44 ๑๓.เยอรมนี 200,199

      ๑๔.ฝรั่งเศส 175,890 ๑๕.เม็กซิโก 173,022

      ๑๖.สหราชอาณาจักร 158,550 ๑๗.เช็ก 151,694

      ๑๘.อิตาลี 143,183  ๑๙.อิหร่าน 135,500    

      ๒๐.อินโดนีเซีย 130,200 และ

      ๒๑.สหรัฐอเมริกา 123,377 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ   

      เจ๋งมั้ย...ไทยเรา!


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"