ทรัมป์ถอย!เดโมแครตขยี้ซํ้า


เพิ่มเพื่อน    

 

โดนรุมหนัก "โดนัลด์ ทรัมป์" ยอมรับแล้วว่าวาระสุดท้ายในตำแหน่งประธานาธิบดีใกล้มาถึง แถลงให้คำมั่นจะถ่ายโอนอำนาจอย่างราบรื่นไร้รอยต่อ แต่ยังยืนกรานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยหลัปลุกม็อบบุกโจมตีรัฐสภาเมื่อวันพุธ ทำให้ตำรวจสภาเสียชีวิต 1 นาย รัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่ลาออก "เดโมแครต" ไล่บี้ถอดถอนชี้เป็น "บุคคลอันตรายมาก"

    รายงานเอเอฟพีเมื่อวันศุกร์ที่ 8 มกราคม กล่าวว่า ถ้อยแถลงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีออกมาภายหลังโดนกดดันอย่างหนัก ทรัมป์ยอมกล่าวประณามผู้ก่อจลาจลที่บุกโจมตีรัฐสภาในนามของเขา พร้อมให้คำมั่นว่าจะถ่ายโอนอำนาจให้แก่รัฐบาลใหม่ โดยเขาไม่แม้แต่จะเอ่ยชื่อของโจ ไบเดน หรือยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งหรือแสดงความยินดีต่อว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่
    "ช่วงเวลานี้ต้องการการเยียวยาและความปรองดอง" ทรัมป์กล่าวในวิดีโอที่เผยแพร่ทางทวิตเตอร์เมื่อวันพฤหัสบดีด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปจากหนึ่งวันก่อนหน้านั้นที่เขาปลุกระดมให้ผู้สนับสนุนเคลื่อนขบวนไปบุกรัฐสภาเพื่อขัดขวางการลงมติรับรองไบเดน "เราเพิ่งผ่านพ้นการเลือกตั้งที่เข้มข้นและอารมณ์พลุ่งพล่าน แต่ตอนนี้อารมณ์ต้องเย็นลงและกลับคืนสู่ความสงบ"
    "รัฐบาลชุดใหม่จะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการวันที่ 20 มกราคม ตอนนี้ผมให้ความสนใจกับการถ่ายโอนอำนาจอย่างราบรื่น เป็นระเบียบและไร้รอยต่อ" ทรัมป์กล่าว และว่า การทำหน้าที่ประธานาธิบดีของพวกคุณถือเป็นเกียรติประวัติตลอดชีวิตของเขา พร้อมกับยืนกรานว่า เขา "กำลังต่อสู้เพื่อปกป้องระบอบประชาธิปไตยของอเมริกา"
    ท่าทีที่เปลี่ยนไปของทรัมป์แสดงออกมาในช่วงยามที่มีเสียงเรียกร้องให้ปลดเขาพ้นจากตำแหน่งผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกโดยไม่ต้องรอให้อยู่ครบวาระที่เหลือไม่ถึง 2 สัปดาห์ แม้แต่วอลล์สตรีทเจอร์นัล ที่เป็นสื่อสายอนุรักษนิยมที่สะท้อนแนวคิดของรีพับลิกันยังเขียนในบทบรรณาธิการว่า ทรัมป์ต้องเป็นผู้รับผิดชอบและลาออกไปอย่างเงียบๆ
    ว่าที่ประธานาธิบดีไบเดน ซึ่งได้รับการรับรองชัยชนะจากสภาคองเกรสเป็นที่เรียบร้อยเมื่อคืนวันพฤหัสบดีตามเวลาสหรัฐ ปฏิเสธจะกล่าวถึงเสียงเรียกร้องให้ปลดทรัมป์ แต่เขาตำหนิทรัมป์ที่โจมตีสถาบันประชาธิปไตยของสหรัฐอย่างเต็มรูปแบบ "เมื่อวานนี้ ในมุมมองของผม คือวันอันมืดมนที่สุดวันหนึ่งในประวัติศาสตร์ของชาติเรา" ไบเดนกล่าวระหว่างการประกาศเสนอชื่อผู้พิพากษาเมอร์ริก การ์แลนด์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในรัฐบาลของเขา ซึ่งจะเป็นตำแหน่งที่จะตัดสินใจว่าจะดำเนินคดีกับทรัมป์หรือไม่
    "คนพวกนั้นไม่ใช่ผู้ประท้วง" ไบเดนกล่าว "พวกเขาเป็นม็อบก่อจลาจล, เป็นพวกผู้ก่อการกบฏ, เป็นผู้ก่อการร้ายภายในประเทศ"
    นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรพรรคเดโมแครต และชัค ชูเมอร์ ผู้นำ ส.ว.เดโมแครต เรียกร้องรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ ให้ใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขปรับปรุงครั้งที่ 25 ซึ่งเปิดทางให้คณะรัฐมนตรีปลดประธานาธิบดีออกจากตำแหน่งหากเห็นว่าเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
    ผู้นำเดโมแครตทั้งสองขู่ว่าจะเดินหน้าถอดถอนทรัมป์เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์สหรัฐที่ประธานาธิบดีคนเดียวโดนถอดถอนถึง 2 ครั้ง โดยพวกเขาหวังว่าครั้งนี้วุฒิสภาจะเห็นด้วย "นี่เป็นเหตุฉุกเฉินระดับสูงที่สุด" เพโลซีกล่าว โดยนางกล่าวถึงทรัมป์ว่าเป็น "บุคคลอันตรายมากๆ" จากการปลุกระดมมวลชนให้ก่อความไม่สงบแบบที่ทรัมป์ทำเมื่อวันพุธ เขาต้องถูกปลดจากตำแหน่ง เวลาอีก 13 วันที่เหลือนั้น ไม่ว่าวันใดก็อาจเป็นการแสดงสยองขวัญสำหรับอเมริกาได้
    เหตุการณ์วุ่นวายภายในอาคารรัฐสภาสหรัฐที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันพุธที่ 6 มกราคม ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐ ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมอย่างน้อย 5 ศพ หลังจากไบรอัน ซิกนิก ตำรวจรัฐสภา เสียชีวิตที่โรงพยาบาลเมื่อคืนวันพฤหัสบดี ด้วยพิษบาดแผลที่ได้รับจากการปะทะกับกลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก่อนหน้านี้มีผู้สนับสนุนทรัมป์ที่เป็นผู้หญิง 1 คนโดนตำรวจยิงเสียชีวิตระหว่างการปะทะ และอีก 3 คนถูกพบเป็นศพภายในรัฐสภาโดยสภาพการตายยังไม่ชัดเจน
    การโจมตีรัฐสภาสหรัฐที่ทำให้ผู้นำประเทศประชาธิปไตยพากันรุมประณาม ยังทำให้รัฐมนตรีหญิงที่มีเพียง 2 คนในรัฐบาลของทรัมป์ประกาศลาออกเมื่อวันพฤหัสบดี คนหนึ่งคือ เอเลน เชา รัฐมนตรีคมนาคม ซึ่งสมรสกับมิตช์ แม็กคอนเนลล์ ผู้นำ ส.ว.รีพับลิกัน อีกคนคือเบตซี เดวอส รัฐมนตรีศึกษาธิการ นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ลาออกด้วย เช่น มิค มัลเวนีย์ อดีตหัวหน้าคณะทำงานของทรัมป์ที่ลาออกจากตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำไอร์แลนด์เหนือ และแมตต์ พอตทิงเจอร์ รองที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติผู้รังสรรค์นโยบายสายเหยี่ยวด้านจีน
    ความล้มเหลวของผู้พิทักษ์กฎหมายในการขัดขวางไม่ให้กลุ่มม็อบบุกเข้าไปก่อจลาจลภายในอาคารรัฐสภาก่อความโกรธและเรียกเสียงวิจารณ์จากทั้งเดโมแครตและรีพับลิกัน โดยในวันพฤหัสบดี สตีเวน ซันด์ ผู้บังคับการตำรวจรัฐสภาที่มีกำลังเจ้าหน้าที่ 2,300 นาย ยื่นใบลาออกแล้ว แต่สมาชิกรัฐสภาประกาศว่าพวกเขาจะยังคงสอบสวนอย่างละเอียดเรื่องความหละหลวมของการรักษาความปลอดภัย
    หลายคนตั้งคำถามด้วยว่า ตำรวจจะตอบโต้สถานการณ์อย่างไรหากฝูงชนเมื่อวันพุธไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนทรัมป์ที่เป็นคนผิวขาว แต่เป็นคนผิวดำที่ประท้วงต่อต้านการเหยียดผิว ซึ่งมักโดนตำรวจใช้กำลังปราบปรามระหว่างการประท้วงทั่วประเทศเมื่อปีที่แล้ว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"