'เมธี ลาบานูน'ในวันที่พบว่าความสุขคือ'เสื่อผืน หมอนใบ นั่งในสวน'


เพิ่มเพื่อน    

 

          เจาะใจ คว้านักร้องนำของวงร็อคชื่อดังของเมืองไทย เมธี อรุณ วงลาบานูนเปิดใจชีวิต เผยความฝันวัยเด็กก่อนที่จะมาเป็นนักร้อง และเจาะลึกเส้นทางดนตรีกว่า 23 ปี ด้วยเสียงร้องและดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ ลาบานูน มียอดขายเป็นล้านตลับในชุดแรก และแม้จะห่างหายจากวงการไปเกือบ 8 ปี แต่เมื่อกลับมาอีกครั้ง ก็ได้การตอบรับจากแฟนเพลงอย่างล้นหลาม ทุกเพลงฮิตมียอดวิวพุ่งทะยานหลายร้อยล้านวิว แต่ผ่านความหนักหนาสาหัสทั้งกายและใจกว่าจะมีอัลบั้มแรกเป็นของตัวเอง แต่สุดท้ายกลับพบว่า ความสำเร็จของเขาไม่ใช่ชื่อเสียงเงินทอง

          “ผมโตที่จังหวัดนราธิวาส โตขึ้นมาไม่ได้มีความฝันว่าอยากจะเป็นนักร้อง แต่ผมอยากเป็นปลัดอำเภอ เพราะพ่อผมเป็น อส. เป็นลูกน้องปลัด คอยขับรถให้ ผมเลยอยากเป็นปลัด แม่ผมกรีดยางพารา และพอม.4 ได้เข้ามาประกวดฮอตเวฟ มิวสิค อวอร์ด นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้มาเป็นนักร้องมาคุยงานเพลง กับ พี่เอก-ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ทำให้ผมมีงานทำมีรายได้ พอเพลงยามปล่อยไป เป็นซิงเกิ้ลแรก กระแสตอบรับดีมาก และผมไปออกรายการโทรทัศน์และแม่เปิดทีวีดูพอดี ความเลยแตก

          พออัลบั้มชุดแรกได้หนึ่งล้านตลับ พอเราได้เงิน เลยโอนเงินก้อนแรกห้าแสนบาทให้แม่หมดเลย หวังจะให้แม่ทำบ้าน แต่แม่ไม่รับและยืนยันว่า อยากให้ลูกตั้งใจเรียนให้จบ ผมจึงอำนวยความสะดวกทุกอย่างให้ที่บ้าน และยังทำงานเพลงไปเรื่อย ๆ จนช่วงหนึ่งถึงจุดเปลี่ยน เลยคุยกันกับสมาชิกในวง ว่าจะหยุดชั่วคราว ต่างคนเริ่มมีอะไรของตัวเอง ผมกลับบ้านที่นราธิวาส ไปเป็นนักการเมืองท้องถิ่น แล้วก็มาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย สอนวิชารัฐศาสตร์อยู่ 4-5 ปี เป็นช่วงชีวิตที่ผมรู้สึกว่ามีความสุขมาก

 

 

          แต่พอเป็นอาจารย์ได้สัก 3-4 ปี ก็พบว่าเป็นเรื่องทางวิชาการทำให้ผมคิดว่าแค่ผมจบโทแล้วไปสอนความรู้ที่มีน่าจะไม่เพียงพอ จนต้องกลับมา    ถามตัวเองว่าชีวิตต่อจากนี้เราอยากอยู่สายวิชาการจริงหรือ และได้พบว่าเราไม่ได้อยากเป็นครู เราแค่อยากเป็นนักบรรยายจึงตัดสินใจลาออก แต่จู่ๆ วันหนึ่งเปิดวิทยุฟังขณะกำลังขับรถไปมหาวิทยาลัยมีเด็กโทรเข้ามาถามดีเจว่า ลาบานูนหายไปไหน อยากฟังลาบานูนเมื่อไรจะออกเพลงใหม่ มันก็ทำให้เราคิดได้ และรู้ว่าก็ยังมีคนคิดถึงเราอยู่ จนได้กลับมาครั้งนี้มีงานแน่นเกือบทุกวัน

          ช่วงนั้นเล่นคอนเสิร์ตเกือบทุกวัน แต่อยู่ ๆ ผมเล่นคอนเสิร์ตไม่ได้ กลัวเวที เคยเห็นคนกลัวความสูงไหมครับ อารมณ์ผมก่อนขึ้นเวทีเป็นอย่างนั้นเลย ต้องหิ้วปีกผมขึ้นเวที ก็เลยคุยกันว่าให้ลดงานลงในหนึ่งอาทิตย์เจอกัน 3 วัน อีก 4 วันที่เหลือก็ให้ไปอยู่กับสิ่งที่ตัวเองอยากทำแล้วความสุขที่ผมค้นพบก็คือการที่ได้นั่งกินข้าวกับแม่กับครอบครัวได้ถามทุกข์สุข ได้อยู่กับธรรมชาติ คือมันเป็นเรื่องเล็กๆ

          ชีวิตผมถึงจะเกิดมายากจน มีความลำบาก มีอุปสรรคบ้างผมไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหาอะไร เพราะวันที่ผมไม่มีอะไรผมยังมีภาพครอบครัวตัวเอง ขับรถมอเตอร์ไซต์เก่าๆ หยิบลูกคนโตมานั่งหน้า ลูกอีกคนนั่งหลัง แม่ซ้อนท้ายแล้วก็ขับไปชายทะเล  มีเสื่อผืนหนึ่งมาวาง นั่งกินข้าวกัน คือพอเรามองย้อนกลับไปมันเป็นภาพที่สร้างความสุขและเป็นแรงให้เราทำงานต่อ สุดท้ายมันอยู่ที่ว่าแต่ละคนวางความสำเร็จไว้ที่เรื่องอะไร ผมวางความสำเร็จไว้ที่ความสุข วันนี้ชีวิตผมมีความสุขก็ถือว่าผมประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิตแล้ว

 

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"