จับ‘ธนาธร’ผิด112 รบ.แจ้งปอท.ปั่นวัคซีนโยงสถาบัน/ทอนยังพลิ้ว


เพิ่มเพื่อน    

 ไม่รอด! ดีอีเอสยื่น ปอท.ฟ้อง “ธนาธร” เรื่องวัคซีนในความผิดมาตรา 112-พ.ร.บ.คอมพ์แล้ว ถอดเทปไลฟ์สดยิบตั้งแต่นาทีที่ 3 ถึงนาที 28.10 น. ระบุเป็นการชี้นำให้สังคมเข้าใจผิดไม่ใช่การตั้งคำถาม ลั่นฟันทุกรายไม่ใช่แค่ทอน เตรียมประเดิมปิดเฟซบุ๊กก่อน เจ้าตัวโพสต์เฟซบุ๊กพลิ้วแค่ตั้งคำถามเพื่อความโปร่งใส พร้อมจี้เปิดสัญญาก่อนนัดแถลงแจง 21 ม.ค. ลูกหาบก้าวไกลออกโรงปกป้อง “นายเก่า” บอกเป็นการใช้กฎหมายปิดปาก อ้างเป็นเหตุผลที่ต้องรื้อ ม.112 เพื่อเสรีภาพและปกป้องสถาบัน

    เมื่อวันพุธที่ 21 ม.ค. ยังคงมีความต่อเนื่องในประเด็นที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ออกมาไลฟ์สดวิพากษ์วิจารณ์การนำเข้าวัคซีนแอสตราเซเนกา รวมทั้งพาดพิงบริษัท  สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด และสถาบัน โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธว่าไม่ทราบจริงๆ กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม เตรียมฟ้องร้องดำเนินคดีนายธนาธรว่าบิดเบือนข้อมูล โดยเห็นจากในข่าวเท่านั้นเอง เรื่องนี้เป็นการมอบให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไปว่ากัน ซึ่งไม่ใช่ประเด็นยุ่งยากซับซ้อนอะไร   
    เมื่อถามว่า การฟ้องร้องนายธนาธรจะเป็นจุดเริ่มต้นให้ประชาชนสามารถฟ้องร้องตามได้ด้วยหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ทราบ ตอบไม่ถูก ไม่ได้ดูด้วยว่านายธนาธรพูดอะไร รวมถึงนายกฯ พูดอะไร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข พูดอะไร เห็นจากข่าวเท่านั้น จึงเอาแน่อะไรไม่ได้  
    และเมื่อเวลา 13.30 น. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) นายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส), นายทศพล เพ็งส้ม กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกฯ เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนให้เอาผิดนายธนาธรในข้อหามาตรา 112 และความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ กรณีไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กวิจารณ์การนำเข้าวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19
    นายทศพลกล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดีอีเอส ที่มอบหมายให้รวบรวมพยานหลักฐานมาแจ้งความเอาผิดนายธนาธร ซึ่งทีมเจ้าหน้าที่ได้แกะคลิปวิดีโอไลฟ์สดกว่า 30 นาที รวมแล้ว 11 วรรคตอน โดยเฉพาะนาทีที่ 3 จนถึงนาทีที่ 28.10 น. ซึ่งถ้าหากฟังแต่ละช่วง ถ้าไม่ได้ดูคลิปโดยรวมทั้งหมด ก็จะเชื่อว่าสถาบันเข้าไปเกี่ยวข้องกับวัคซีน เพราะมีการย้ำโดยเฉพาะช่วงที่พูดถึงการถือหุ้น 100% และโยงเรื่องทุนต่างๆ ซึ่งไม่ถูกต้อง โดยทีมงานยังได้นำข้อมูลที่หน่วยงานราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องออกมาชี้แจงเมื่อวันที่ 19 ม.ค. ในประเด็นที่นายธนาธรพูด ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบแล้วพบว่านายธนาธรพูดไม่เป็นความจริง มีการบิดเบือนทำให้ประชาชนเข้าใจผิดและตื่นตระหนก
“จะดำเนินการคดีกับทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ใช่เฉพาะแค่นายธนาธร ทั้งในส่วนคดีมาตรา 112 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยจะเร่งรัดติดตามอย่างต่อเนื่อง ว่าพนักงานสอบจะดำเนินการเสร็จเมื่อใด โดยมีคณะทำงานติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด อีกทั้งเรื่องนี้ได้มีการนำเรื่องวัคซีนกับสถาบันเข้ามาเชื่อมโยงเป็นเรื่องเดียวกัน ทำให้ถูกดูถูก ดูหมิ่น และเกลียดชังจากประชาชน ซึ่งสถาบันไม่มีโอกาสที่จะมาชี้แจง จึงต้องมาชี้แจงให้กับประชาชนได้รับรู้ ส่วนกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ตั้งคำถามเรื่องงบประมาณเกี่ยวกับวัคซีนนั้น การชี้นำกับการตั้งคำถามนั้นต่างกัน กรณีนี้เป็นการชี้นำที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด”
    นายสุภรณ์กล่าวว่า ผิดหวังในตัวนายธนาธรที่พยายามบิดเบือนคำพูดทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ตระหนก เพื่อประโยชน์ตีกินทางการเมือง ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ก็เน้นย้ำหากมีใครบิดเบือนนำข่าวเท็จมากล่าวหาดูหมิ่น ก็คงไม่ปล่อยไว้ ต้องดำเนินการตามกฎหมาย
ชงปิดเฟซบุ๊กทอนประเดิม
    ด้านนายเนวินธุ์กล่าวว่า ยืนยันว่าจะเอาผิดกับคนที่ทำความผิดในมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และดีอีเอสจะดำเนินการปิดทุกแพลตฟอร์มโดยเร็วที่สุด รวมทั้งผู้ที่บิดเบือนข่าววัคซีน โดยจะเริ่มจากเฟซบุ๊กก่อน ที่จะยื่นขอให้ปิด ทั้งนี้ ในส่วนของการแชร์ต่อ และผู้ที่เป็นต้นโพสต์ก็มีความผิดทั้งสิ้น จึงอยากฝากให้ประชาชนได้ตระหนักว่าข่าวดังกล่าวเป็นข่าวปลอม และอย่าแชร์ต่อ
    ในเวลาไล่เลี่ยกัน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ว่าที่หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กว่า ได้มอบหมายทีมกฎหมายไปแจ้งความดำเนินคดีนายธนาธรข้อหาความผิดตามมาตรา 112 แล้ว
ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุขกล่าวถึงการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับประสิทธิภาพ ที่มา และการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ว่า กับเรื่องนี้เราไม่ได้กังวล นายกฯ เองก็ไม่ได้กังวล และมีการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้กล่าวหาแล้ว ซึ่งขอยืนยันว่าเราไม่ได้ตั้งเป้าหมายเอาการเมืองมาเป็นประเด็น แล้วเอาสุขภาพประชาชนมาเป็นตัวประกัน แบบนี้ไม่ได้ ทำอะไรต้องมีหิริโอตตัปปะ มีความละอายใจและเกรงกลัวต่อบาป ทั้งนี้การที่แจ้งความก็ไม่ได้กังวลว่าจะทำให้ความขัดแย้งขยายตัวไป เพราะเป็นการเอาข้อมูลอันเป็นเท็จมาพูด และเอาเบื้องสูงมาพูดในทางสาธารณะให้ประชาชนฟัง ซึ่งประชาชนเขาแยกแยะออก
เมื่อถามว่า กังวลว่าประชาชนจะแอนตี้วัคซีนที่นำมาใช้หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลไทยไม่เคยเอาอะไรที่ไม่ดี สธ.ไม่มีวันเอาอะไรที่เป็นอันตรายหรือไม่เป็นประโยชน์มาให้กับประชาชน โดยจะเป็นคนฉีดคนแรก โดยตัวที่เข้ามาตัวแรกคือแอสตราเซเนกา เพราะซิโนแวคยังรอการขึ้นทะเบียนในจีน ดั้งนั้นการฉีดเข็มแรกในไทยแนวโน้มน่าจะเป็นแอสตราเซเนกา ซึ่งก็ดีเพราะเป็นยี่ห้อเดียวกัน สูตรเดียวกันกับที่กำลังผลิตโดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ฯ
“วันนี้แอสตราเซเนกาคอนเฟิร์มมาแล้วว่า 50,000 โดสแรกจะเข้ามาต้นเดือน ก.พ. จริงๆ คอนเฟิร์มมาจำนวน 1.5 แสนโดส แต่จะมาต้น ก.พ.ก่อนคือ 50,000 โดส เป็นวัคซีนสำเร็จรูปล็อตที่ผลิตในต่างประเทศ ที่เหลือทยอยมาในเดือน มี.ค.-เม.ย.” นายอนุทิน กล่าว
เมื่อถามว่า ล็อตที่เข้ามารวมอยู่ใน 26 ล้านโดสที่ผลิตในประเทศหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ไม่รวมกัน ขอให้แยกอีก 150,000 โดส เพราะเราขอไป 200,000 แสนโดส เราซื้อเหมือนปกติ และเมื่อถามย้ำว่าอยู่ในจำนวน 35 ล้านโดสที่ได้อนุมัติงบประมาณขอซื้อเพิ่มหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า 200,000 โดสเทียบกับ 26 ล้านโดส มันไม่ใช่สาระสำคัญเท่าไหร่ เมื่อบวกไปอีก 35 ล้านโดสก็ยังไม่พอ เพราะครอบคลุมแค่ 30 ล้านคน แต่เราต้องฉีดให้ครอบคลุมประชากรถึง 40-50 ล้านคน ตรงนี้จึงไม่มีนัยสำคัญอะไร
    ส่วนความเคลื่อนไหวของนายธนาธรนั้น พีอาร์คณะก้าวหน้าได้แจ้งต่อสื่อมวลชนว่านายธนาธรได้นัดแถลงชี้แจงเรื่องดังกล่าวในวันที่ 21 ม.ค. เวลา 12.00 น. ที่อาคารไทยซัมมิท สำนักงานคณะก้าวหน้า ชั้น 5
    ต่อมาในเวลา 16.55 น. นายธนาธรโพสต์เฟซบุ๊กในเรื่องนี้ว่า ต่อให้ดิสเครดิตหรือเอาคดีความมาก่อกวนมากแค่ไหน ก็ยิ่งทำให้ข้อสงสัยที่ตั้งไว้เด่นชัดมากยิ่งขึ้น ทำไมรัฐต้องรับหน้าแทนบริษัทเอกชนมากขนาดนี้ ยอมรับแล้วหรือไม่ว่าเราให้สิทธิพิเศษแก่บริษัทเอกชนนี้จริงๆ ถ้าอยากจบเรื่องนี้ก็ต้องชี้แจงด้วยเอกสาร หลักฐานให้กระจ่าง โดยขอให้เปิดเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เช่น 1.สัญญาจ้างผลิตระหว่างแอสตราเซเนกากับสยามไบโอไซเอนซ์ 2.
2.สัญญารับงบประมาณระหว่างสถาบันวัคซีนแห่งชาติกับสยามไบโอไซเอนซ์ และ 3.บันทึกการประชุมของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติและเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการวางเงื่อนไข คุณสมบัติ และรายละเอียดของเอกชนที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐในการผลิตวัคซีน
ธนาธรอ้างแค่ตั้งคำถาม
"ขอยืนยันอีกครั้งว่าผมเห็นด้วยทุกประการที่รัฐหรือเอกชนไทยจะได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อผลิตวัคซีน แต่ผมตั้งคำถามถึงกระบวนการคัดเลือกเอกชน การใช้ประเด็นเรื่องวัคซีนมาสร้างความนิยมทางการเมือง และวิธีการบริหารจัดการที่ไม่มีการกระจายความเสี่ยง ทำให้ประชาชนได้รับวัคซีนช้าและครอบคลุมประชากรน้อยกว่าประเทศอื่น เพราะหากยึดตามไทม์ไลน์ของรัฐบาล กว่าเราจะกลับทำมาหากินได้ตามปกติก็อย่างน้อยปี 2565 ซึ่งประชาชนรอไม่ไหว #วัคซีนพระราชทาน” นายธนาธรโพสต์ทิ้งท้าย
        ขณะที่นายพิธากล่าวว่า ขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์มีวุฒิภาวะความเป็นผู้นำ เพราะสังคมไม่ต้องการคนหัวร้อนกระฟัดกระเฟียด โดยย้ำว่าประชาชนทุกคนไม่ว่าตนเอง หรือนายธนาธรมีสิทธิ์ตั้งคำถามถึงงบประมาณในการจัดหาวัคซีนกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นภาษีของประชาชน เมื่อประชาชนตั้งคำถาม พล.อ.ประยุทธ์ ก็เพียงแค่ตอบมาเท่านั้น แต่ท่านกลับเลือกที่จะหัวร้อนไม่ตอบคำถาม
    นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวประเด็นนี้ว่า การออกมาแสดงความคิดเห็นของนายธนาธร ถือเป็นการตรวจสอบรัฐบาลในการจัดการวัคซีนโควิดของรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องที่จะกระทบประชาชนเป็นวงกว้าง นี่เป็นการตรวจสอบให้เกิดความโปร่งใส ไม่ใช่การชี้นำให้เกิดการดูถูกเกลียดชังตามข้อกล่าวหา ซึ่งเรื่องนี้ กมธ.การสาธารณสุขก็เคยตั้งคำถามว่าเหตุใดเลือกบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ฯ
    "เรายืนยันว่าเรื่องนี้เป็นการตรวจสอบ เป็นหน้าที่ และเป็นความชอบธรรมของประชาชนทุกคน ไม่เฉพาะนายธนาธรเท่านั้น ดังนั้นหน้าที่ของรัฐบาลคือต้องออกมาชี้แจงโดยละเอียด เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ต้องเปิดเผยสัญญากับเอกชนทั้งหมดที่เกี่ยวข้องเรื่องวัคซีนให้สาธารณชนหายสงสัย ซึ่งนี่จะเป็นการตอบคำถามดีที่สุด ไม่ใช่การใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาปิดปากไม่ให้เกิดการตรวจสอบจากสาธารณชน" นายชัยธวัชกล่าว
    นายชัยธวัชกล่าวด้วยว่า การแจ้งความครั้งนี้ เป็นอีกกรณีหนึ่งที่เป็นการตอกย้ำการใช้มาตรา 112, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ, พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ รวมถึงมาตรา 116 เป็นเครื่องมือปิดปากผู้เห็นต่างทางการเมือง และเห็นว่าการใช้กฎหมายในลักษณะนี้จะยิ่งส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชน ยิ่งส่งผลกระทบต่อสถาบัน การฟ้องแบบนี้ไม่ใช่การปกป้องสถาบัน
เอาแน่ชงแก้มาตรา 112
    “เรื่องนี้ทำให้สังคมตั้งคำถามทำให้เกิดผลกระทบกับสถาบัน เกิดเสียงวิจารณ์อย่างมาก และที่สำคัญคือขัดหลักสากลเรื่องเสรีภาพแสดงออก พรรคจึงเตรียมเสนอร่างแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับฐานความผิดหมิ่นประมาททั้งหมด รวมทั้งมาตรา 112 โดยทั้งหมดนี้จะเป็นชุดกฎหมายที่เราต้องการผลักดันให้เกิดการคุ้มครองเสรีภาพประชาชน รวมทั้งรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มีความมั่นคงในสังคมไทย ชอบธรรม ดำรงอยู่ได้ด้วยความพร้อมใจของประชาชน ไม่ใช่บังคับใช้กฎหมายที่มีโทษเกินกว่าเหตุ”
    ส่วนนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้มีอดีต ผบ.ทบ.ถึง 3 คน ดังนั้นความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ การปกป้องพระเกียรติยศควรคำนึงให้มากว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทหรือเปล่า ต้องถามกลับไปที่นายกฯ และพวก และที่สำคัญคือต้องเอาสัญญาตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารมาเปิดเผย ซึ่งจริงๆ ไม่ต้องรอให้สาธารณชนเรียกร้องด้วยซ้ำ นายกฯ ต้องเอาสัญญามาเปิดเผย เพราะตัวเงินสนับสนุนนั้นเป็นเงินของประชาชน แต่ถ้าเป็นเงินส่วนตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ว่าอะไรเลย
“ถามไปกี่วันแล้ว นอกจากออกมาด่าว่าบิดเบือน ส่งไอโอมารุมผม ทำภาพตัดแปะ ท่านควรเอาสัญญามากาง แค่นี้ก็จบ ไม่ต้องปากดีทำภาพตัดแปะ บอกว่าผมเป็นขยะ หรือบอกว่าใครเป็นขยะ ถ้าอย่างนั้นท่านเองก็เป็นสวะเหมือนกัน ผมถามไปหลายครั้งไม่เคยมีใครตอบ นี่เป็นเรื่องที่สาธารณชนพึงรู้ เพราะเป็นเรื่องการใช้เงินภาษีของประชาชน การดำเนินการอย่างรอบคอบนั้น จะเป็นการปกป้องพระเกียรติยศที่ดีที่สุด การเก็บเงียบๆ ไม่ตอบคำถาม แล้วเอามาตรา 112 มาแจ้งความคนตั้งคำถาม ทั้งที่เขาตั้งคำถามต่อรัฐบาลนี่เป็นการกระทำที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทอย่างยิ่ง" นายวิโรจน์กล่าว.

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"