‘คารม’อบรมก๊วนก้าวไกล!


เพิ่มเพื่อน    

 "คารม" อบรมก้าวไกลชุดใหญ่ ประเด็น ม.112 คนในประเทศไม่ได้เห็นร่วมกัน มีความเห็นต่างเยอะ การยื่นไปสภาและวุฒิสภาด้วย แล้วต้องไปทรงลงพระปรมาภิไธย เป็นเรื่องใหญ่ ตอกย้ำอนาคตใหม่ไม่มีนโยบายนี้ ขณะที่ "เจี๊ยบ นครปฐม" ไม่เอาคนคิดต่าง ได้เวลาคัดกรองคนที่ไม่ใช่ ซูเปอร์โพลเชื่อมีขบวนการต่างชาติอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวคุกคามสถาบันหลักของชาติ

    เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2564 นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงกรณีระบุจุดยืนไม่แก้ไข ป.อาญา ม.112 ซึ่งแตกต่างกับจุดยืนพรรค และถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์โจมตีว่า ตนคิดว่าการจัดทำกฎหมาย แก้ไขกฎหมาย ต้องมองว่ายื่นแก้แล้วสำเร็จไหม ถ้ายื่นเข้าไปแล้วไม่สำเร็จเพราะมติสภาไม่เห็นด้วย คนอื่นไม่เห็นด้วย มันก็เหมือนกับทำแล้วไม่เกิดผล สำเร็จยาก อันนี้ไม่อยากทำ
    "ประเด็น ม.112 มีต่างความคิดเยอะ ทั้งควรแก้และไม่ควรแก้ แปลว่าเรื่องนี้คนในประเทศไม่ได้เห็นร่วมกัน หาข้อสรุปไม่ได้ พูดกันตรงๆ ความเห็นแตกต่างในเรื่องนี้เยอะมาก บางส่วนก็คิดว่ามีกฎหมายไว้ก็ไม่เห็นเป็นไร เป็นกฎหมายที่ป้องกันสถาบันไม่ให้คนไปก้าวล่วง สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ห้ามละเมิดพระมหากษัตริย์ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง การยื่นไปสภาและวุฒิสภาด้วย แล้วต้องไปทรงลงพระปรมาภิไธย ก็เป็นเรื่องใหญ่"  
    นายคารมกล่าวว่า ประเด็นเนื้อหารายละเอียด จะมีการเปลี่ยนจากหมวดความมั่นคงไปอยู่หมวดอื่นไหม ปรับอัตราโทษไหม นั่นก็เป็นรายละเอียด แต่ตนไม่เห็นด้วยในเชิงหลักการคือแก้ไข ที่ว่ามีทัวร์ลง แต่คนเห็นด้วยกับสิ่งที่ตนพูดก็เยอะ เพียงแต่อาจมีคนมองว่าในเมื่ออยู่พรรคนี้ เมื่อพรรคมีมติให้แก้ เรื่องนี้ไม่ใช่ตนคนเดียวที่จะไม่ลงชื่อ อย่างน้อยก็มีนายขวัญเลิศ พานิชมาท ส.ส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล เป็นข่าวไปแล้ว และไม่อยากพูดให้เสียความรู้สึกของคนที่อยากแก้ สถาบันกษัตริย์เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เป็นสถาบันหลัก เขาก็เขียนกันไว้ หลายคนตีความได้ ตนก็ไม่อยากลงรายละเอียด  
    “ปัญหามีว่าเป็นนโยบายพรรคไหม ก็ต้องเรียนตรงๆ ว่าหลายคนที่ทัวร์ลงหาว่าผมเนรคุณอย่างนั้นอย่างนี้ จริงๆ เราเข้าใจอยู่แล้วว่าเราเป็น ส.ส. มาจากพรรคอนาคตใหม่ อันนี้ไม่มีปัญหา เราไม่ได้ลืมนะ แต่ตอนอนาคตใหม่ก็ไม่มีประเด็นที่จะแก้ 112 ไม่มีการชูเรื่องนี้ พอมาเป็นก้าวไกลเสนอประเด็นนี้มา โดยหลักการแก้กฎหมายก็เป็นหน้าที่ ส.ส.นั่นแหละ แต่การจะแก้กฎหมายต้องตกผลึกที่สุดในแง่ความคิด” นายคารมกล่าว
    ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการพูดคุยกับคนในพรรคหรือไม่ หลังมีกระแสถึงกับให้ขับออกจากพรรค ส.ส.บัญชีรายชื่อผู้นี้ตอบว่า การขัดมติพรรค ไม่ทำตามเหมือนไม่มีมารยาท แต่บางอย่างเราก็มีหลักของเราเหมือนกัน จุดยืนบางอย่างกับมติพรรคไม่สอดคล้องกัน สมมติลงชื่อไปมีปัญหา กฎหมายรัฐธรรมนูญก็คุ้มครอง จะลงมติขับหรือไม่ตนก็น้อมรับอยู่แล้ว เพราะเราพูดไปแล้ว เราทำอะไรลงไปต้องมีผลแน่ ตนไม่อยากลงรายละเอียด มีความคิดเรื่องนี้เยอะอยู่ แต่พูดไปกระทบกระเทือนเราก็ไม่อยากไปพูดถึงคนที่ถูกดำเนินคดีอยู่ เราก็เข้าใจ แต่คนถูกดำเนินคดีไม่ใช่จะผิดเสมอไป มีขั้นตอนชั้นตำรวจ อัยการ ศาล  
    นายคารมเผยว่า เคยทำคดี 112 เล่าให้ฟังสั้นๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ด้วย คือทำให้นายอุทัย สุวรรณเวียง ที่ จ.ร้อยเอ็ด ตั้งใจทำ แล้วสุดท้ายคดีนั้นก็แค่รอลงอาญา เป็นชาวบ้าน แล้วตนไม่เคยได้ค่าตอบแทนเลยแม้แต่บาทเดียว
    "ผมเป็นคนร้อยเอ็ด ตอนนั้นก็ไม่ได้จะหวังอะไร ระยะเวลาห่างจากการเลือกตั้งปี 2562 ที่ผมได้เป็น ส.ส.ด้วย และผมไม่ไปตอบโต้คุณโตโต้ (นายปิยรัฐ จงเทพ แกนนำกลุ่มวีโว่) หลายคนแสดงความเห็นต่างกับคุณโตโต้เยอะ ไม่เป็นไร” นายคารมกล่าว
สุดท้ายก็ถูกจำคุก
    นายคารมกล่าวถึงกรณีที่นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย เขียนจดหมายเปิดผนึกให้พรรคก้าวไกลขับนายคารมพ้นพรรคว่า นายสมยศถูกกล่าวหากระทำผิด 112 ตนทำคดีนี้เพราะนายสุวิทย์ ทองนวล ทนายความ มาพูดคุยกันทำคดีร่วมกัน ระหว่างทำคดีมีนายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญามาทำคดีนี้ด้วย ที่นายสมยศพูดทำนองว่าตนไม่ใส่ใจคดี คำพูดนี้ตนเสียหาย เขาก็เปลี่ยนทนาย สุดท้ายก็ถูกจำคุก เราเข้าใจ เห็นใจ แต่ไม่อยากไปตอบโต้ เวลาหมอรักษาคนไข้ คนไข้หายก็ชมหมอ เวลาทนายว่าความให้ชนะเขาก็ชม เรื่องนี้สองมุม ตนไม่ไปตอบโต้กล่าวหา  
    “ผมก็เห็นใจคุณสมยศที่เขาลำบาก ชื่นชมที่มีอุดมการณ์ แต่ประชาธิปไตยมันต้องเห็นต่างได้ เรื่องการที่ถูกดำเนินคดีแล้วสุดท้ายต้องไปแพ้คดีมันมีเงื่อนไขเยอะ โดยเฉพาะความผิดตาม ม.112 มีอะไรเยอะ เพราะผ่านหลายศาล ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา ก็มีการกลั่นกรอง จะบอกว่าทนายทำไม่เต็มที่ ทำอะไรอย่างนี้แล้วแต่ ผมทำตอนนั้นก็ไม่ได้ เพราะต้องการมีชื่อเสียง ผมทำคดีของกลุ่มแกนนำ นปช. ตอนนั้นก็มีชื่อเสียงอยู่แล้ว อันนี้เนื่องจากเขามาพาดพิงกล่าวหาผม แต่ไม่เป็นไร ถือว่าขณะนี้ผมอยู่ในฐานะเป็น ส.ส. เป็นบุคคลสาธารณะ มีบ้างก็ไม่เป็นไร” นายคารม กล่าว
    ผู้สื่้อข่าวถามว่า การใช้ ม.112 เราเห็นปัญหาอื่นหรือไม่ และพร้อมพูดคุยเปลี่ยนท่าทีหรือไม่ นายคารมตอบว่า ตนเองมีความเห็นเยอะมาก ลึกซึ้งพอสมควร แต่ไม่อยากอธิบายเพราะมันกระทบเยอะ อันนี้บอกได้เลย จึงไม่เปลี่ยน
    "เอาเป็นว่าไม่ว่าจะปรับเปลี่ยนลักษณะไหน ผมไม่เซ็น ผลกระทบผมก็ยอมรับ คือมันพูดไปแล้วเปลี่ยนไม่ได้หรอก อันนี้เป็นเชิงหลักการคือไม่แก้”
    ด้านนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ ระบุว่า "จุดยืนของพรรคคือต้องแก้ไข #มาตรา112  ได้เวลาคัดกรองคนที่ไม่ใช่"
    ขณะที่นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 เพราะเนื้อหาของมาตราดังกล่าวไม่ได้สร้างความเสียหายให้ประชาชน อยากถามว่าทำไมไม่มองที่ตัวผู้กระทำความผิดมากกว่าตัวบทกฎหมาย ถ้าไม่ทำผิดมาตราดังกล่าวก็ไม่มีผลอะไร กับใคร ตนอยากให้ดูที่ตัวผู้กระทำความผิดมาตรา 112  
หนักหัวบิดาใคร
    "ถ้าพูดกันตรงๆ ก็คือ มาตรา 112 ไปหนักส่วนไหนของใคร ของบิดา มารดาใคร ถึงได้พยายามแก้ไขมาตรา 112 เมื่อมีการก้าวล่วง จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ เจ้าหน้าที่จะไม่ดำเนินการก็ไม่ได้ หรือจะละเลย เพิกเฉยก็ไม่ได้เช่นกัน ทางเดียวที่ต้องทำคือดำเนินคดี หากไม่ดำเนินคดีก็จะมีประชาชนไปแจ้งความว่าเจ้าหน้าที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้ ขอชื่นชม ส.ส.ต่างพรรคที่ไม่ได้ร่วมลงชื่อ ถือว่ายังคิดได้ที่ยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
    ดร.เสรี วงษ์มณฑา ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและการตลาด โพสต์ข้อความถึงกรณีการเคลื่อนไหวกดดันให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยระบุว่า ความเคลื่อนไหวยกเลิกมาตรา 112 ของกลุ่มและพรรคการเมือง กลายเป็นพื้นฐานสำหรับผู้นำต่างประเทศบางประเทศ และสื่อต่างประเทศที่จะกดดันประเทศไทยให้ยกเลิกมาตรานี้
         พื้นฐานความคิดคือการมองว่ามาตรา 112 ละเมิดเสรีภาพในการแสดงออก ทั้งๆ ที่มาตรานี้ป้องกันการดูหมิ่นและการแสดงการอาฆาตมาดร้ายประมุขของประเทศ ไม่ได้ละเมิดเสรีภาพใคร
         พวกที่ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน เขาจะรู้บ้างไหมว่าต่างชาติเขามีเป้าหมายอะไรในการร่วมกันกดดันให้ประเทศไทยยกเลิกมาตรา 112 มันเกี่ยวกับการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่
         ลองคิดต่อไปอีกนิดว่าทำไมต่างชาติจึงต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ พวกเขาจะได้อะไร และประเทศไทยจะสูญเสียอะไร ทำไมคนไทยจึงทำตัวเป็นแนวร่วมของต่างชาติ เป็นคนไทยทำไมไม่รักประเทศไทย ทำไมไม่กตัญญูต่อแผ่นดิน
    ขณะที่ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง มาตรา 112 กับนักวิชาการ กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,677 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 25-29 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 99.7 ระบุทุกฝ่ายควรหยุดทำอะไรที่กระทบต่อสถาบันหลักของชาติ และหยุดความพยายามแก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ต่างชาติอยู่เบื้่องหลัง
    ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.7 เชื่อว่ามีขบวนการ องค์กรต่างชาติอยู่เบื้องหลัง การเคลื่อนไหวของนักวิชาการ นักการเมืองบางคน พยายามแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.4 รู้สึกสูญเสียความภูมิใจ เมื่อนักวิชาการพยายามจะก้าวล่วงละเมิด คุกคามสถาบันหลักของชาติ
    อย่างไรก็ตาม ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.9 ภูมิใจค่อนข้างมากถึงมากที่สุดต่อรัฐธรรมนูญของประเทศไทย  รองลงมาคือร้อยละ 15.4 ภูมิใจปานกลาง และร้อยละ 10.7 ภูมิใจค่อนข้างน้อยถึงไม่เลย นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 64.6 ระบุรัฐบาลทำงานตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ในขณะที่ร้อยละ 21.7 ระบุปานกลาง และร้อยละ 13.7 ระบุค่อนข้างน้อยถึงไม่เลย
    ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 66.8 ระบุมีระดับความเสี่ยงสูงค่อนข้างมากถึงมากที่สุดต่อความแตกแยกของคนในชาติ ถ้ารัฐบาลทำตามข้อเรียกร้องของนักวิชาการ นักการเมืองบางคน และกลุ่มผู้ชุมนุม ในขณะที่ร้อยละ 19.9 ระบุเสี่ยงปานกลาง และร้อยละ 13.3 ระบุค่อนข้างน้อยถึงไม่เสี่ยงเลย
    ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าวว่า ถ้าทุกฝ่ายใช้ความเป็นจริงแก้ปัญหาบ้านเมือง จะพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้หยุดทำอะไรที่กระทบต่อสถาบันหลักของชาติและหยุดความพยายามแก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยเชื่อว่ามีขบวนการ องค์กรต่างชาติต่างๆ หนุนเบื้องหลังการเคลื่อนไหวของนักวิชาการและนักการเมือง ส่งผลให้รู้สึกสูญเสียความภูมิใจเมื่อนักวิชาการ นักการเมืองบางคนพยายามทำสิ่งที่กระทบต่อสถาบันหลักของชาติ ทางออกคือความชัดเจนให้เห็นในผลสำรวจแล้วว่าทุกฝ่ายควรหยุดก้าวล่วงละเมิด คุกคามสถาบันหลักของชาติ และหันไปทำอะไรอย่างอื่นที่ตอบโจทย์ความต้องการแก้ไขความเดือดร้อนทุกข์ยากของประชาชนจะดีที่สุด.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"