บิ๊กตู่ยันไม่ใช้คะแนนไว้วางใจปรับครม.ใหม่


เพิ่มเพื่อน    


     นายกฯ ขอบคุณ ส.ส.ทุกฝ่าย ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ พร้อมรับข้อเสนอแนะปรับใช้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน พปชร.เย้ยก้าวไกลจะโรยเกลือต่อระวังมีดจะบาดตัวเอง เลือดไหลไม่หยุด ฟุ้ง ปชช.เชื่อมั่นรัฐบาลอยู่จนครบเทอม ฝ่ายค้านจ่อยื่น ป.ป.ช.สอบ 4 รมต. ชี้นายกฯ ละเว้นหน้าที่-รมว.ศธ.ตั้งคนสนิทนั่งเลขาฯ สกสค.-ต่อสัมปทานไฟฟ้าสายสีเขียว-ทุจริตถุงมือยาง พท.แบะท่าจัดกิจกรรมเปิดแผลเพิ่มเติมผนึกผู้ชุมนุมหวังขย่มรัฐบาลได้ โพลจี้รัฐบาลปรับ ครม.ไม่เห็นด้วยพาม็อบลงถนน 
    เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ขอบคุณสภาผู้แทนราษฎร ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีระหว่างวันที่ 16-19 ก.พ. และลงมติวันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างช่วยกันทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้อย่างราบรื่น บรรยากาศโดยรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทุกฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ ข้อมูลต่างๆ ทั้งการอภิปรายและตอบอภิปรายล้วนเกิดประโยชน์ต่อประชาชน โดย พล.อ.ประยุทธ์ ให้ความสำคัญกับการทำงานของสภาผู้แทนราษฎร พร้อมรับข้อเสนอแนะไปปรับใช้ต่อไป
    “พล.อ.ประยุทธ์ยังขอบคุณส่วนข้าราชการในการจัดเตรียมข้อมูลรองรับการอภิปราย ตลอดจนขอบคุณประชาชนที่ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ด้วย โดยภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ได้ขอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) นำข้อมูลข้อเสนอแนะจากฝ่ายค้านที่เป็นประโยชน์มาพิจารณาเพื่อปรับใช้ ซึ่งหลายเรื่องเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ ขณะที่หลายประเด็นก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานของรัฐบาลให้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นในการทำงาน จึงไม่ได้มองแค่ว่าเป็นแนวความคิดของรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน แต่มองที่ประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ เมื่อทำแล้วเกิดประโยชน์ต่อประชาชนก็ควรทำ”
    น.ส.ไตรศุลีกล่าวด้วยว่า นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายได้ชี้แจงเพิ่มเติมเพื่อสร้างความเข้าใจต่อทุกภาคส่วน ในประเด็นที่ยังมีข้อสงสัย ยังไม่ชัดเจน โดยสามารถสร้างความเข้าใจได้หลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการสื่อสารปกติของทางราชการ หรือสื่อออนไลน์ที่เข้าถึงประชาชนโดยง่าย และขอให้รัฐมนตรีทุกคนมุ่งมั่นตั้งใจทำงานต่อไป เร่งผลักดันนโยบาย แผนการ โครงการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศชาติเป็นการด่วน ลดช่องโหว่ แก้ไขปัญหาและอุปสรรคเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมประสานความร่วมมือทำงานแบบบูรณาการ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชน
    มีรายงานว่า หลังเสร็จสิ้นการลงมติเมื่อ 20 ก.พ. พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินทางกลับออกจากอาคารรัฐสภา ได้โทรศัพท์หา นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ที่ได้คะแนนเสียงไว้วางใจน้อยที่สุดทันที เพื่อให้กำลังใจ และขอให้นายณัฏฐพลตั้งใจทำงานตามนโยบาย และย้ำด้วยว่าจะยังไม่มีการพิจารณาปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในช่วงนี้ และหากมีการปรับ ครม. ก็จะพิจารณาจากผลงานของรัฐมนตรีแต่ละรายเป็นหลัก ไม่นำคะแนนเสียงไว้วางใจมาเป็นปัจจัยตัดสินใจ เพราะทราบถึงเบื้องหลังว่ามีคนในพรรค พปชร.พยายามล็อบบี้ให้ผลคะแนนออกมาเป็นเช่นนี้ และทราบทั้งหมดว่าเป็นใครบ้าง และเสนอผลประโยชน์กันอย่างไร
     นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก ระบุว่า ข้อเท็จจริงของสถานการณ์เศรษฐกิจไทยขณะนี้ไม่ได้แย่อย่างที่อภิปรายกันในสภา ความน่าเชื่อถือในสายตานานาชาติ 3 สถาบันจัดอันดับเครดิตคือ มูดี้ส์, ฟิทช์เรทติ้งส์ และสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส ประเมินให้ไทยอยู่ในอันดับเท่าเดิม ในขณะที่หลายประเทศถูกปรับลดอันดับลง สำหรับความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการของประเทศไทย ไม่ว่าจะเรื่องเศรษฐกิจหรือการควบคุมการแพร่ระบาด ปรากฏว่าอยู่ในการจัดอันดับต่างๆ หรือการยอมรับจากนานาชาติ ล่าสุดเราติดอันดับ 1 ใน 4 ประเทศที่ควบคุมการระบาดของโควิด-19 ดีที่สุดในโลก ในขณะที่ความเข้มแข็งทางการเงินการคลังติดอันดับต้นๆ ของประเทศเกิดใหม่ที่น่าลงทุนที่สุด 
     “มีคนพูดว่าประเทศไทยเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก นั่นเป็นแค่มิติเดียว คือความมั่งคั่ง ถ้าจะดีต้องดูให้ครบทุกมิติ ต้องดูโอกาส การเข้าถึงระบบสาธารณสุข สิทธิประโยชน์ต่างๆ การดูแลโดยภาครัฐบาล รวมกันแล้วไทยเราเป็นประเทศอันดับต้นๆ ในอาเซียนที่มีความเหลื่อมล้ำน้อย ยิ่งหากดูเรื่องความยากจน เราน้อยที่สุด ถ้าไม่นับสิงคโปร์ เพราะรัฐบาลสร้างโอกาส มีสวัสดิการด้านสาธารณสุข และมีสวัสดิการที่ดูแลประชาชนที่มีความเปราะบาง” นายสุพัฒนพงษ์ระบุ
พปชร.ฟุ้งรัฐบาลอยู่ครบเทอม
     นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภายหลังเสร็จสิ้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์จะเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะการแก้ปัญหาผลกระทบของโควิด-19 ที่จะต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการฉีดวัคซีนให้กับพี่น้องประชาชน ส่วนกรณีที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย เตรียมจะยื่น ป.ป.ช.เพื่อให้ตรวจสอบการทุจริตต่อไปนั้น ก็เป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้ รัฐบาลก็ไม่ได้กังวลอะไรเพราะไม่ได้ทำอะไรผิดหรือมีการทุจริต รัฐบาลพร้อมที่จะถูกตรวจสอบ
     นายธนกรกล่าวว่า สำหรับกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่า การอภิปรายครั้งนี้ถือว่ากรีดแผลแล้วจะโรยเกลือต่อนั้น ฝากเตือนให้ระวังมีดจะบาดตัวเองเลือดไหลไม่หยุด เพราะทราบว่ามี ส.ส.พรรคก้าวไกลหลายคนยกมือสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นการส่งสัญญาณว่าน่าจะไม่อยู่พรรคนี้แล้วใช่หรือไม่ เข้าใจว่า ส.ส.กลุ่มนี้คงอึดอัดและรับไม่ได้กับแนวคิดของพรรคที่ต้องการให้มีการแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศไม่เห็นด้วย เพราะขนาดมีมาตรา 112 ก็ยังไม่ได้เกรงกลัว กลับจงใจจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่ยำเกรงกฎหมาย 
    ด้าน น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่สภาลงมติไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป พร้อมด้วยรัฐมนตรีรวม 10 คน ว่าเนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์สามารถชี้แจงได้กระจ่างชัดทุกประเด็นทำลายน้ำหนักของฝ่ายค้าน เหนืออื่นใดคือความมุ่งมั่นและจริงใจในการบริหารประเทศโดยปราศจากผลประโยชน์ใดๆ เช่นเดียวกับรัฐมนตรีทุกคนที่มีความตั้งใจในการทำหน้าที่ ประกอบกับข้อมูลของฝ่ายค้านที่ไม่น่าเชื่อถือ ดังที่ซูเปอร์โพลระบุว่าการอภิปรายพูดเรื่องเดิมๆ รู้อยู่แล้ว เอาข้อมูลจากสื่อมาพูดขาดหลักฐานใหม่ รู้สึกผิดหวัง เท่ากับเป็นเวทีที่ประจานตนเองให้ประชาชนไม่ไว้วางใจฝ่ายค้านในการทำหน้าที่ต่อไป ในขณะที่รัฐบาลจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ประชาชนเชื่อมั่นและอยู่ยาวจนครบเทอม ซึ่งนับจากนี้จะได้ตั้งหน้าตั้งตาแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป
     น.ส.ทิพานันกล่าวด้วยว่า สิ่งน่าผิดหวังที่สุดคือความพยายามพูดพาดพิงสถาบันโดยไม่จำเป็น และไม่เกิดประโยชน์ต่อการบริหารประเทศ ซึ่งประชาชนรู้เท่าทัน แม้แต่ ส.ส.ของพรรคก้าวไกลเองก็ยังแสดงออกด้วยการลงมติสวนทางกับพรรคถึง 4 คน สะท้อนถึงการต่อต้านกรณีดังกล่าว 
ไม่กังวลร้องปปช.สอบ 2 รมต.
     ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรค ปชป. แถลงว่า รัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 2 คน คือ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ และนายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ได้ทำหน้าที่โดยยึดหลักความซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้บุคคลใด สมคบคิดทุจริต ไม่มีการไปร่วมกับใครในการทุจริต ในนามพรรค ปชป.ยืนยันว่าเราเชื่อมั่นในตัวรัฐมนตรีทั้งสองคนการที่ฝ่ายค้านระบุว่าจะไปยื่นคำร้อง ป.ป.ช. ก็ขอให้ฝ่ายค้านตรวจสอบได้อย่างเต็มที่ เพราะยืนยันว่ากระบวนการทำงานต่างๆ ไม่มีการทุจริต 
     นายราเมศกล่าวว่า เรื่องการทำสัญญาซื้อขายถุงมือยางที่ฝ่ายค้านจะไปยื่น ป.ป.ช.นั้น นายจุรินทร์ได้ให้ไปยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไว้นานแล้ว ตั้งแต่โอกาสแรกที่นายจุรินทร์ได้ทราบเรื่องดังกล่าว และได้ระงับเรื่องดังกล่าวแล้ว นอกจากนั้นยังได้ดำเนินการหลายส่วนตามที่ได้ชี้แจงในสภา ดังนั้นเราจึงไม่กังวลใดๆ และทางพรรค ปชป.จะติดตามเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีการเร่งการตรวจสอบตามกระบวนการกฎหมายให้ถึงที่สุด ส่วนกรณีที่จะไปยื่นร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อให้ตรวจสอบนายนิพนธ์ กรณีมีการเอื้อเรื่องที่ดินพื้นที่อำเภอจะนะ จ.สงขลา ก็ชี้แจงไปแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับนายนิพนธ์ แต่หากฝ่ายค้านไปยื่นร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในเรื่องของรัฐมนตรีทั้งสองคน เราก็พร้อมที่จะชี้แจง ไม่มีความกังวลแต่อย่างใด
     ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย แถลงภาพรวมหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ฝ่ายค้านทำงานเป็นทีม ทุกพรรคมีส่วนร่วม ทำให้การอภิปรายประสบความสำเร็จ รัฐมนตรี 10 คน ถึงแม้ฝ่ายค้านไม่สามารถมีคะแนนเสียงชนะรัฐบาล แต่มีรัฐมนตรี 3 คนที่ตอบไม่ได้เลยคือ 1.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ที่โยนอย่างเดียวว่าเป็นเรื่องของคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า (อคส.) 2.นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย เรื่องที่ดินในพื้นที่ อ.จะนะ จ.สงขลา นายนิพนธ์ตอบไปคนละเรื่อง และ 3.นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ที่ได้คะแนนน้อยที่สุด อาการหนักสุด เชื่อว่าจะถูกปรับออกจาก ครม.แน่นอน อยากเตือนนายกฯ ว่าหากไม่รีบดำเนินการ กรณีนี้จะเป็นมะเร็งร้ายทำลายรัฐบาล โดยวันที่ 22 ก.พ. เวลา 08.30 น. จะไปยื่น ป.ป.ช.เรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามมาตรา 126 และ 127 กรณีตั้งนายธนพร สมศรี เป็นเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพ ครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.)
     นายยุทธพงศ์กล่าวว่า เรื่องต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวซึ่งถือเป็นรถไฟฟ้าเส้นทางที่ดีที่สุด ทำเงินมหาศาล แต่กลับไม่นำเข้าพระราชบัญญัติร่วมทุน มีการทำนิติกรรมอำพราง ผิดกฎหมายฮั้ว ก่อนหน้านี้ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย เคยไปร้องไว้ที่ ป.ป.ช. วันที่ 22 ก.พ. จะไปร้องเพิ่มเติมที่ ป.ป.ช.ด้วย เรื่องที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อดีตผู้ว่าฯ กทม. ไปต่อขยายการจ้างวิ่งรถไฟฟ้าสายสีเขียวด้วย ที่จำเป็นต้องรีบไปยื่น เพราะฝ่ายค้านต้องรีบตามประเด็น เนื่องจากจะต้องมีการยื่นอีกหลายเรื่อง
ฝ่ายค้านยื่นปปช.สอบ 4 รมต.
     ส่วนก่อนการอภิปรายมีข้อครหาว่าพรรคเพื่อไทยมีการขายข้อสอบหรือไม่ นายยุทธพงศ์กล่าวว่า ไม่มีใครไปทำเลวร้ายอย่างนั้น  ขอร้องว่าอย่าทำเลย อย่าปล่อยข่าวทำลายกันทางการเมือง ครั้งนี้ข้อสอบไม่รั่ว แต่มี ส.ส.สอบตกบางคนที่อยากเข้าไปอภิปรายในสภาจึงพยายามปล่อยข่าว พรรคเพื่อไทยอภิปรายนายณัฏฐพล ตายกลางสภาแบบนี้ล้มมวยหรือท้าคนที่พูดว่าอย่าพูดลับหลัง เปิดตัวออกมาไปออกทีวีแข่งกันกับตนก็ได้ 
     นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า พอใจในการทำงานครั้งนี้ แม้จะมีจุดบกพร่องบ้างก็ถือว่าเล็กน้อย จึงต้องยกความดีทั้งหมดให้กับคณะ ส.ส.ของพรรคร่วมทั้งหมด ส่วนกรณีพรรคเพื่อชาติโหวตไว้วางใจและงดออกเสียงให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ เราคงมีการประชุมสรุปการทำงานร่วมกันทั้งระดับวิปพรรคร่วมฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านทั้งหมดถึงจุดเข็งจุดอ่อนในการทำงานครั้งนี้ เพื่อปรับปรุงให้การทำงานครั้งต่อไปมีประสิทธิภาพมีประสิทธิผลมากขึ้น รวมทั้งประเด็นที่พรรคร่วมฝ่ายค้านที่ลงมติไปคนละทิศคนละทางกับพรรคร่วมอื่น เรื่องนี้จะต้องถามเหตุผลและความจำเป็นของท่านเหล่านั้น เพราะเราทำงานร่วมกันมาอย่างใกล้ชิดทุกขั้นตอน แต่ไม่ทราบว่าจะมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น คงต้องฟังเหตุผลกันก่อน ส่วนจะรับฟังได้หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็เป็นจุดยืนของแต่ละพรรค ไปบังคับกันไม่ได้ อยู่ที่ประชาชนจะพิจารณา
    ด้านนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สิ่งที่พรรคเพื่อไทยจะดำเนินการต่อคือรวบรวมเนื้อหาและหลักฐานที่ชี้ชัดว่ามีการทุจริตส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อ ในส่วนของตนจะยื่นตรวจสอบ พล.อ.ประยุทธ์ นำประเด็นละเว้นการปฏิบัติหน้าที่กรณีที่ทราบว่ามีการทุจริตถุงมือยางแล้วไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นในทันทีทันใดต่อ ป.ป.ช. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ กรณีปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตถุงมือยาง และยังมีข้อมูลว่าผู้ดำเนินการเป็นคนใกล้ชิดแล้วไม่เรียกมาตรวจสอบข้อเท็จจริง ปล่อยให้ดำเนินการต่อทำให้องค์การคลังสินค้าเสียหาย 2,000 ล้านบาท จะยื่นต่อ ป.ป.ช.ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังทราบมาว่าสมาชิกพรรคอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลที่จะยื่นเอาผิด รมว.ศึกษาธิการและ รมว.มหาดไทย ถ้าชัดเจนแล้วทางสมาชิกที่เป็นคนดำเนินการจะแถลงรายละเอียดอีกครั้ง
     พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การอภิปรายที่จบลงได้ทำให้สังคมได้รับรู้ว่ากระบวนการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจมีความไม่เป็นธรรมสูง ส่งผลให้การปฏิบัติหน้าที่เหินห่างประชาชน ขณะที่การจัดการสวัสดิการของกองทัพมีขบวนการเอาทรัพย์สินของกองทัพไปหาผลประโยชน์ให้แก่ผู้มีอำนาจ แต่ทหารชั้นผู้น้อยกลับได้รับสวัสดิการที่แย่ สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของหน่วยงานทหาร ตำรวจที่จะต้องมีการปฏิรูปโดยเร่งด่วน รัฐบาลนี้ไม่เหลือสารรูปที่จะไปเป็นภูมิคุ้มกันให้กับใครได้อีกแล้ว เพราะลำพังตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด แม้มือในสภาจะไม่สามารถล้มคว่ำรัฐบาลได้ แต่ประชาชนได้ฟังแล้วเห็นความไม่ชอบธรรมเสื่อมศรัทธา จนเชื่อว่า จะสร้างกระแสบีบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้
โพลจี้ปรับ ครม.
     “ขณะนี้คณะราษฎรและภาคประชาชนได้เริ่มรับไม้นำสู่การชุมนุมใหญ่และย่อยอย่างกระจายตัว เพื่อขับไล่นายกฯ ให้ลาออกจากตำแหน่งไป สำหรับพรรคเพื่อไทย ยังคงจะจัดกิจกรรมต่อเนื่อง "เติมเต็มหลังการอภิปราย" เพื่อเผยพฤติการณ์ความชั่วร้ายของรัฐบาลให้เป็นที่ประจักษ์ชัดเพิ่มเติมอีก นับแต่นี้ไปเหตุการณ์ทรยศหักหลังกันเองของพรรคร่วมรัฐบาลและพลังร่วมขับไล่รัฐบาลของราษฎรต่างๆ นั้น สองปัจจัยนี้จะมาผนึกกันขย่มรัฐบาล ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ทางการเมืองตามมาในเร็ววันนี้” พล.ท.ภราดรกล่าว
     สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ เฉพาะผู้ที่สนใจติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,712 คน ระหว่างวันที่ 17-20 ก.พ.2564 พบว่า มองจุดเด่นของการอภิปรายคือภาพรวมการซักฟอกของฝ่ายค้าน ร้อยละ 52.64 จุดด้อยคือการประท้วงบ่อย ทำให้เสียเวลา ร้อยละ 71.26 หลังการอภิปรายเสร็จสิ้นคาดว่าการเมืองไทยจะเหมือนเดิม ร้อยละ 55.40 น่าจะแย่ลง 30.28%      และไม่เชื่อมั่นต่อรัฐบาล ร้อยละ 43.25 เชื่อมั่นน้อยลง 23.28%   ภาพรวมให้คะแนนฝ่ายค้าน 6.90 คะแนน ให้คะแนนฝ่ายรัฐบาล 5.01 คะแนน
     นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล นำเสนอผลสำรวจภาคสนามเรื่อง รัฐบาลได้ไปต่อ กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 20-21 ก.พ. 2564 เมื่อถามถึงความพอใจของประชาชนต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีผู้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ พบว่า กลุ่ม 3 ป.ผู้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจเกาะกลุ่มได้รับความพอใจจากประชาชน โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล แทรกเป็นอันดับสองรองจาก พล.อ.ประยุทธ์ ที่ได้คะแนนความพอใจสูงสุดอันดับหนึ่ง คือได้ร้อยละ 44.7, อันดับสองได้แก่นายอนุทิน ได้ร้อยละ 41.3, อันดับสาม ได้แก่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้ร้อยละ 39.9 เท่ากัน ตามด้วยอันดับห้า ได้แก่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ได้ร้อยละ 39.5 และอันดับหก ได้แก่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ได้ร้อยละ 38.9 ตามลำดับ
     ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 77.8 ต้องการให้รัฐบาลปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด, ร้อยละ 17.2 ต้องการปานกลาง และเพียงร้อยละ 5.0 เท่านั้นที่ต้องการค่อนข้างน้อยถึงไม่ต้องการเลย อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 79.4 ให้โอกาสรัฐบาลได้ไปต่อ เพราะรับมือวิกฤติโควิดได้ดี เห็นชัดเจนเปรียบเทียบต่างประเทศทั่วโลก ในขณะที่ร้อยละ 20.6 ไม่ให้โอกาส เพราะไม่มีอะไรดีขึ้น นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 56.2 เชื่อมั่นค่อนข้างมากถึงมากที่สุดต่อรัฐบาลในการทำงาน หลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในขณะที่ร้อยละ 24.0 เชื่อมั่นปานกลาง และร้อยละ 19.8 เชื่อมั่นค่อนข้างน้อยถึงไม่เชื่อมั่นเลย 
     ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.1 ไม่เห็นด้วยกับการพาคนลงถนนของกลุ่มต่างๆ ที่เรียกร้องประเด็นละเอียดอ่อนด้านความมั่นคงและการเมือง.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"