'สมคิด'ประกาศไทยจะเป็นฮับเอสเอ็มอีแข่งสิงคโปร์


เพิ่มเพื่อน    

"สมคิด"เร่งเครื่องดันไทยเป็นฮับสตาร์ทอัพ-เอสเอ็มอี แข่งสิงคโปร์ มอบทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญ ปฏิรูปแก้ไขการทำงานภาครัฐ หวังจีดีพีเอสเอ็มอีโตแตะ 50%

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เปิดเผยในงาน “SME Transform พร้อมเปลี่ยน ประชารัฐร่วมใจ เชื่อม SME ไทยสู่สากล” ว่า ปัจจุบันไทยมีกลุ่มผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)จำนวนกว่า 3 ล้านราย  ก่อให้เกิดการจ้างงานมากกว่า 10 ล้านคน นับเป็นห่วงโซ่การผลิตและเป็นรากฐานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่แท้จริง ซึ่งยืนยันรัฐบาลพร้อมผลักดันเอสเอ็มอีให้เติบโตมากขึ้นกว่านี้ให้ได้ เพื่อจะทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้น จากผู้ประกอบการขนาดเล็ก 

ทั้งนี้ตั้งใจว่าจะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพัฒนาเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพของเอสเอ็มอี(ฮับ) แข่งขันกับประเทศสิงคโปร์  เพราะขณะนี้ค่อนข้างมั่นใจในศักยภาพของผู้ประกอบการไทย โดยมองว่าอีก 4-5 ปีข้างหน้าจะเป็นโอกาสของธุรกิจไทย แต่การขับเคลื่อนและพัฒนาจะต้องใช้ความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนอะไรที่กีดขวางหรือเป็นอุปสรรคขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไข เช่น กฏหมายที่เกี่ยวข้อง การจดทะเบียน การเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยขอให้มีความคืบหน้าในช่วงเวลาก่อนเลือกตั้ง 

"รัฐบาลอยากให้ทุกฝ่ายมองว่าเอสเอ็มอีมีความสำคัญสูงสุด ไม่ใช่ภาระแต่เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนประเทศ เราจะต้องช่วยทุกหนทางที่ทำให้เดินต่อไป ความหนักใจต่อไปนี้จะไม่ใช่การเติบโตทางเศรษฐกิจเพราะมั่นใจแล้วว่ากำลังฟื้นตัวได้ดีอย่างมีศักยภาพ แต่ยังเป็นห่วงโครงสร้างของกำเดินหน้าเศรษฐกิจอยู่ เนื่องจากสมัยนี้โลกได้เปลี่ยนไป เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น หากเราไม่มองไปข้างหน้า การเติบโตของเศรษฐกิจก็อาจจะถดถอยลงได้"นายสมคิด กล่าว

ทั้งนี้จึงต้องมีการปฏิรูปให้เกิดความยั่งยืน ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การแก้ไขกฎหมาย แต่เป็นการแก้ไขการทำงานของภาครัฐ ให้รองรับการทำงานของภาคเอกชนได้มากขึ้น ด้วยการจัดทำนโยบาย 4.0 ที่ใช้เทคโนโลยี และดิจิทัลเข้ามามีส่วนร่วม โดยให้กระทรวงต่างๆ ทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานส่งเสริมการลงทุน ร่วมกับสมาคมเอกชนต่างๆ เพื่อปรับตัว และปรับปรุงข้อกฎหมายที่ล้าหลัง ให้เอื้อต่อการเติบโตของเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพไทยแข็งแกร่งมากขึ้น 

อย่างไรก็ตามรัฐบาลตั้งเป้ายกระดับเอสเอ็มอีไทย สู่ Smart Enterprise เปลี่ยนจาก ทำมากได้น้อย เป็น ทำน้อยได้มาก โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมายดันจีพีเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 36% เป็นไม่น้อยกว่า 50% ภายในปี 2564 โดยจะเน้นให้เข้าถึงเงินทุนจากสถาบันการเงินมากขึ้น ซึ่งสถาบันการเงินจะต้องปรับปรุงระบบบิ๊ก ดาต้ากับหน่วยงานรัฐและเอกชนทั้งหมด เพื่อให้สามารถวิเคราะห์การให้เงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เอสเอ็มอีจะมีอุปสรรคในการเติบโตลดลงได้ 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"