ตร.งัดม.112ฟันแก๊งวีโว่ 3นิ้วป่วนหน้าศาลอาญา


เพิ่มเพื่อน    

  แนวร่วมม็อบสามนิ้ววางพวงหรีด-ผูกริบบิ้นสีขาวหน้าศาลอาญา หลังไม่ให้ประกันตัว "รุ้ง-ไมค์-ไผ่" แกนนำปลุกมวลชนห้ามท้อถึงม็อบจะแผ่ว  อ่านบันทึก "รุ้ง-ปนัสยา" หน้าศาล เจ้าตัวหวังให้คนออกมาถึงหลักล้าน ลั่นรอวันได้ออกมาสู้กับทุกคนอีกครั้ง กลุ่มโตโต้-แนวร่วมม็อบมีหนาว ตำรวจเตรียมเช็กบิลหนักจ้องสอบเอาผิดมาตรา 112 และข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน หลังพบภาพเผาพระบรมฉายาลักษณ์ ทำลายแนวรั้วศาล

    ความเคลื่อนไหวหลังศาลอาญาไม่ให้ประกันตัวแกนนำม็อบปลดแอก กลุ่มคณะราษฎร 63 จนทำให้สามแกนนำคือ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง, นายภาณุพงศ์  จาดนอก หรือไมค์ และนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่  ดาวดิน ต้องถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค.ที่ผ่านมา
    โดยเมื่อวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมา แนวร่วมม็อบปลดแอก ได้มีความเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ โดยเมื่อเวลา 16.00 น. ที่หน้าศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมเดินทางมาทำกิจกรรม "ร่วมไว้อาลัยหน้าศาล" โดยสวมเสื้อดำ ผูกริบบิ้นสีขาว และวางพวงหรีดไว้อาลัยกระบวนการยุติธรรม เพื่อแสดงออกต่อกรณีศาลไม่ให้ประกันตัวแกนนำกลุ่มราษฎร
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้เดินทางมารวมตัวกันบริเวณหน้าศาล วางพวงหรีดและดอกไม้หน้าประตูศาล  ใช้ริบบิ้นสีขาวผูกประตูและรั้วศาล กับเขียนข้อความระบายความในใจติดประตูและรั้วศาล
    ขณะที่ภายในศาลมีกำลังตำรวจกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชนจำนวน 1 กองร้อย เจ้าหน้าที่ตำรวจพหลโยธิน ตำรวจศาล และเจ้าหน้าที่เทศกิจของ  กทม.เข้ามาดูแลความปลอดภัยบริเวณศาล โดย พ.ต.อ.ประสพโชค เอี่ยมพินิจ ผู้กำกับการ สน.พหลโยธิน ได้ประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงเตือน การกระทำที่เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล และเป็นการชุมนุมฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้ผู้ชุมนุมแสดงความไม่พอใจ ก่อนมีการทำกิจกรรมต่อไป
    ต่อมา น.ส.เบนจา อะปัญ ตัวแทนแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม เปิดเผยถึงกิจกรรมวันนี้ว่า พวกตนมาอย่างสันติ ไม่มีอาวุธ มีดอกไม้ กระดาษ ปากกา ทำกิจกรรมวางพวงหรีด ดอกไม้ ผูกริบบิ้นที่รั้วศาล เขียนข้อความและสวมเสื้อดำ จะสิ้นสุดกิจกรรมในเวลา 18.00 น. โดยการจุดเทียนไว้อาลัยต่อความยุติธรรมและอ่านแถลงการณ์
    น.ส.เบนจากล่าวถึงการที่ น.ส.ปนัสยา หรือรุ้ง เข้าเรือนจำว่า ไม่ใช่ครั้งแรกที่รุ้งเข้าไป ส่วนนายพริษฐ์ ชิวารักษ์  หรือเพนกวิน ก็อยู่เกือบเดือนแล้ว
    "เราบอบช้ำพอสมควร เราจะเอาเพื่อนเราออกมาให้ได้ การเคลื่อนไหวต้องไปต่อไม่ว่าจะมีแกนนำหรือไม่ การคุมขังระหว่างพิจารณาซึ่งอาจใช้เวลา 1-2 ปี ทั้งที่เขายังบริสุทธิ์ การเอาไปขังไม่ยุติธรรม ก่อนหน้านี้เราอยู่ด้วยกัน เจอกันทุกวัน รุ้งมีความกังวลแต่ก็พยายามเข้มแข็ง บอกเพื่อนไม่ให้กังวล พอเจอเหตุการณ์อย่างนี้เราก็เสียศูนย์  เราห่วงสภาพจิตใจรุ้งที่กังวลและเป็นห่วงเพื่อนร่วมขบวนการข้างนอก การที่รัฐจับแกนนำทุกคนหมดไม่ทำให้การเคลื่อนไหวสิ้นสุดลง ถึงไม่มีแกนนำก็ไปต่อแน่นอน" แกนนำกลุ่มม็อบคณะราษฎร 63 ระบุ
    น.ส.เบนจายังเผยถึงคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตาม ป.อาญา ม.112 ในส่วนของตนมีทั้งหมด 4 คดี ซึ่งอัยการนัดฟังคำสั่งคดีชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมนีในวันที่ 25 มี.ค.นี้ อาจจะถูกขังในเดือนนี้ ยืนยันไม่ลี้ภัย ยืนยันสู้ต่อ  ขอให้ทุกคนยึดมั่นอุดมการณ์ อย่าเพิ่งท้อถึงม็อบจะแผ่ว  แต่ตราบใดที่เราสู้ต่อ รัฐก็ยังไม่ชนะ อย่าหมดหวังสู้ไปด้วยกัน
    ต่อมาเวลาประมาณ 18.00 น. น.ส.เบนจาอ่านแถลงการณ์ที่ น.ส.ปนัสยาบันทึกไว้ก่อนถูกขัง มีเนื้อหาสรุปได้ว่า "ถึงเพื่อนพ่อแม่พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทุกคน หากทุกท่านได้รับสารนี้ รุ้งคงไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว รุ้งและเพื่อนๆ อีกหลายคนคงเข้าไปอยู่ในเรือนจำแล้ว ด้วยกระบวนการอันแสนอยุติธรรมของประเทศ ที่ปิดปากผู้เห็นต่าง ถูกผลักไสเป็นศัตรูโดยรัฐ คุกคามปราบปรามจับกุมคุมขัง ด้วยเหตุที่เราหวังจะมีสิทธิเสรีภาพที่ดีกว่า แม้รุ้งจะไม่อยู่ การต่อสู้เราต้องเดินต่อ เป้าหมายข้อเรียกร้องได้แก่  1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และองคาพยพต้องลาออก 2.แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นฉบับประชาชนอย่างแท้จริง และ 3.ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้อยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง"
    "รุ้งอยากให้ทุกคนสานต่อความฝันว่า วันหนึ่งเราจะมีรัฐสวัสดิการที่ดี ไม่เห็นคนอดอยาก และไม่มีใครสูงส่งกว่าใคร มีสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยที่เท่าเทียม สิ่งที่มากกว่าการต่อสู้ คือการเดินทางอันยาวไกลของพวกเรา  แต่การจะเดินถึงเป้าหมายนั้นได้ ต้องพึ่งวินัยกับความเป็นเอกภาพ อย่าเป็นเครื่องมือของรัฐ ที่จะสลายการชุมนุมพวกเราด้วยความรุนแรงอย่างที่ผ่านมา เราต้องสู้ด้วยความอดทนอดกลั้น เราจำเป็นต้องต่อสู้ด้วยสันติวิธี ไม่ใช้ความรุนแรงหรือเริ่มทำก่อน ไม่เช่นนั้นรัฐจะใช้โอกาสทำร้ายเราแน่ ขอให้เราออกมาถึงหลักล้าน แม้วันใดที่มืดมิดที่สุด เราจะออกมาส่องแสงให้ประเทศนี้อีกครั้ง รุ้งจะรอวันที่ออกมาสู้กับทุกคนอีกครั้ง"
    จากนั้นผู้ชุมนุมได้ร่วมกันร้องเพลง "บทเพลงของสามัญชน" ตะโกนว่าปล่อยเพื่อนเรา พร้อมจุดเทียนสีขาว ปักบริเวณหน้าประตูศาล
    วันเดียวกัน เครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี นำมวลชนสวมเสื้อสีดำจัดกิจกรรมที่หน้าเรือน?จำ?พิเศษ?กรุงเทพ?มหานคร ตั้งแต่เวลา 16.00 น.เป็นต้นไป? โดยมีนายเจษฎา ศรีปลั่ง แกนนำเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี เป็นแกนนำในการชุมนุมในครั้งนี้ ซึ่งมีนายภานุพงศ์ มุกดารา ประธานเครือข่ายแดงก้าวหน้าปทุมธานี สนับสนุนรถเครื่องเสียง
    สำหรับการดูแลรักษาความปลอดภัย เจ้าหน้าที่ได้นำถังน้ำมันเปล่า รวมถึงนำลวดหนามหีบเพลงมากั้นบริเวณทางเข้าหน้าเรือนจำ เบื้องต้นมีผู้ชุมนุมเข้าร่วม 50 คน  โดยมีการสลับกันขึ้นปราศรัยเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายมาตรา 112 ปล่อยตัวแกนนำที่ถูกจำคุก รวมถึงเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์? จันทร์?โอชา? นายกรัฐมนตรี?ลงจากตำแหน่ง  นอกจากนี้ผู้ชุมนุมได้นำรูปแกนนำที่ถูกจำคุกติดโบดำมาผูกที่ลวดหนาม พ่นสีสเปรย์ที่?ถังน้ำมันเปล่า อีกทั้งได้นำพวงหรีดสีขาวส้มติดป้ายว่า "หมดความศรัทธา?ในระบอบความยุติธรรม?" มาวางไว้ อย่างไรก็ตามกิจกรรมไฮไลต์?อยู่ที่การจุดเทียนจากนอกเรือนจำ เพื่อส่องแสงสว่างในความยุติธรรมที่มืดบอด    
    นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยกรณีการนำตัว 3 แกนนำม็อบปลดแอกไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษธนบุรีว่า เจ้าหน้าที่ได้ย้ายผู้ต้องขัง 3 ราย จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครไปยังเรือนจำพิเศษธนบุรีตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 มี.ค.เพื่อลดความแออัดในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยเรือนจำได้นำผู้ต้องหาทั้ง 3 รายทำประวัติ  ตรวจร่างกายตามขั้นตอน และอยู่ในแดนแรกรับเพื่อกักโรคตามมาตรการป้องกันโควิด-19 เป็นระยะเวลา 14 วัน แต่ให้อยู่คนละห้องขังกัน เพราะเป็นผู้ต้องขังความผิดคดีเดียวกันจึงต้องแยกควบคุม แต่ยังมีเพื่อนผู้ต้องขังคดีอื่นๆ รวมอยู่ ซึ่งเรือนจำพิเศษธนบุรีเป็นเขตควบคุมความมั่นคง มีเจ้าหน้าที่ดูแลเข้มงวดเพื่อป้องกันเหตุตลอด 24 ชั่วโมง  โดยเจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครจะไปรับตัวจากเรือนจำพิเศษธนบุรีไปศาลตามขั้นตอนปกติ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เรือนจำพิเศษธนบุรียังไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยมเพราะยังอยู่ในช่วงเฝ้าระวังโควิด-19
ดำเนินคดีม็อบ 6 กลุ่มข้อหาหนัก  
    ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) แถลงเรื่องการดำเนินคดีกับกลุ่มนายปิยรัฐ จงเทพ หรือโตโต้ หัวหน้ากลุ่มการ์ดวีโว่ พร้อมพวก และกลุ่มผู้ชุมนุมหน้าศาลอาญา ถนนรัชดาฯ เมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา หลังพบการกระทำความผิดหลายข้อหาว่า กองบัญชาการตำรวจนครบาล บช.น.ได้แบ่งการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมออกทั้งหมด 6 กลุ่ม
    กลุ่มที่ 1 นายปิยรัฐ กับพวกรวม 18 คน ถูกดำเนินคดีสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปเพื่อเตรียมการกระทำผิดอาญา ตามภาคสองของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 107-มาตรา 366 การมั่วสุมของนายโตโต้พร้อมพวกเป็นการเตรียมการที่จะก่อความสงบไม่เรียบร้อยในบ้านเมือง ตามมาตรา 215 วรรค 1 และวรรค 2 เนื่องจากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่พบการกระทำจับกุมซึ่งหน้า จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้หมายจับ นอกจากนี้ยังผิดมาตรา 210 มาตรา 209  และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินและ พ.ร.บ.ควบคุมโรคอีกส่วนหนึ่ง กลุ่มนี้ดำเนินคดี 4 ข้อหา  
    กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกจับได้และได้หลบหนีไปจากการควบคุมของเจ้าพนักงาน ในส่วนนี้จะมีความผิด  4 ข้อหาหลักเช่นเดียวกับกลุ่มของนายโตโต้ แต่จะมีความผิดตามมาตรา 190 ตามประมวลกฎหมายอาญา หลบหนีไปจากการควบคุมของเจ้าพนักงานสอบสวนสืบสวนคดีอาญา มีการปรากฏตัวต่อตำรวจ สน.พหลโยธิน ตำรวจได้รับตัวและปล่อยตัวให้กลับไปก่อน จากนั้นจะทำการพิสูจน์ทราบว่าทั้ง 27 คนเป็นผู้ที่หลบหนีหรือไม่อย่างไร เมื่อความปรากฏชัดเจนว่าบุคคลที่มาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นเป็นบุคคลที่หลบหนีจริง พนักงานสอบสวนจะออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาทั้ง 4 ข้อกล่าวหาเดิม และอีก  1 ข้อหาใหม่ดำเนินคดีตามกฎหมาย นอกจากนี้มีผู้ต้องหาบางส่วนยังไม่ได้มาพบตำรวจ วันนั้นตำรวจก็จะออกหมายเรียกตัวมาดำเนินคดีเช่นเดียวกัน
    กลุ่มที่ 3 ตามที่ปรากฏภาพและคลิป มีกลุ่มบุคคล  กลุ่มผู้ชุมนุม กลุ่มการ์ดทุบทำลายรถของทางราชการและชิงตัวผู้ต้องหา ทำร้ายเจ้าพนักงาน ชิงของกลางบางส่วนไปจากการดูแลของเจ้าพนักงาน มีความผิดตามมาตรา  191 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา 83 ร่วมกันช่วยเหลือผู้ต้องหาหรือผู้ถูกควบคุมในอำนาจของพนักงานสอบสวนสืบสวนคดีอาญาให้หลุดพ้นไปจากการดูแลของเจ้าพนักงาน ส่วนนี้จะมีการดำเนินคดีเพิ่มเติมในข้อหาตามมาตรา 191 ถ้าความปรากฏว่าผู้ชุมนุมคนหนึ่งคนใดมีหลักฐานโยงไปถึงการทำลายทรัพย์สินและทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะเป็นความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานร่วมกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 และ 140 ยังมีความผิดอื่นๆ เช่น ทำให้เสียทรัพย์ของทางราชการอีกส่วนหนึ่งด้วย
    กลุ่มที่ 4 ตามที่ปรากฏภาพ มีกลุ่มบุคคลทุบทำลายแนวรั้วของศาลอาญา นำสิ่งต่างๆ มาเผารวมทั้งพระบรมฉายาลักษณ์ บุกรุกสถานที่ราชการศาลอาญาและสำนักงานอัยการสูงสุด ในส่วนนี้จะเป็นความผิดข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการในเวลากลางคืน และความผิดบางส่วนจะเป็นฐานละเมิดอำนาจศาล พนักงานสอบสวนกำลังดูว่าความผิดใดผิดมาตรา 112 คงต้องมีการดำเนินกับกลุ่มผู้ต้องหากลุ่มที่ 4
    กลุ่มที่ 5 คือกลุ่มผู้ชุมนุมอื่นๆ หลังมีประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ควบคุมโรค ห้ามมีการชุมนุม ก็จะผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินและ พ.ร.บ.ควบคุมโรค
    กลุ่มที่ 6 เวลา 23.00 น. ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนกำลังเดินทางกลับจากการปฏิบัติหน้าที่ ศาลอาญาผ่านกลุ่มผู้ชุมนุมหน้า สน.พหลโยธิน ได้มีกลุ่มบุคคลใช้ลูกเหล็กหนังสติ๊ก อาวุธปืน ยิงใส่รถเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้รถราชการเสียหาย รถกระบะ 1 คัน รถ 6 ล้อ  1 คัน และรถบัส 3 คัน จากการตรวจพิสูจน์ของกองพิสูจน์หลักฐานพบร่องรอยการถูกยิง เชื่อว่าถูกยิงมาจากอาวุธปืน พนักงานสอบสวนจะต้องพิจารณาดำเนินการ ว่าการกระทำผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานด้วยอีกส่วนหนึ่งหรือไม่อย่างไร
    พล.ต.ต.ปิยะยังกล่าวเสริมเรื่องทรัพย์สินที่นายโตโต้กล่าวอ้างว่าสูญหายระหว่างการถูกจับกุม ว่าจากการตรวจสอบในวันนั้นมีกลุ่มบุคคลมาทำทุบรถของราชการ มีการแย่งชิงตัวผู้ต้องหาและแย่งชิงของกลางบางส่วนไป และมีการชิงหรือปล้นทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนตัว ขณะนี้ได้รับรายงานจากตัวคนเจ็บเพิ่งให้การได้เมื่อวานนี้ ตัวคนเจ็บเป็นห่วงทรัพย์บางส่วนซ่อนไว้ใต้เบาะนั่ง พนักงานสืบสวนได้เข้าตรวจค้นรถยนต์พบของกลางของนายโตโต้ที่กล่าวอ้างเรียบร้อย และนำเข้าสู่สำนวนการสอบสวนเรียบร้อย หากมีทรัพย์สินของกลางสูญหายต้องตรวจสอบว่าหายไปด้วยเหตุใด ถ้าปรากฏว่าเป็นความบกพร่องของตำรวจก็จะมีการพิจารณาข้อบกพร่อง แต่ถ้าข้อเท็จจริงเป็นการประทุษร้ายผู้ชุมนุมต้องรับผิดชอบ แต่ขณะนี้ทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เช่นโทรศัพท์ พระเลี่ยมทองและสร้อยคอยังไม่ได้คืน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าวยังพักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ตำรวจ ถ้าออกจาก รพ.แล้วจะมีการเข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อไป
    พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวเป็นห่วงถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นในการชุมนุมทางการเมือง โดยย้ำว่ารัฐบาลไม่เคยไปห้ามการชุมนุม แต่ถ้าชุมนุมแล้วมีความรุนแรงเกิดขึ้น ถ้าศาลเห็นว่าเป็นการทำกระทำที่ผิดกฎหมาย ก็เป็นเรื่องของศาลตัดสินออกมา รวมทั้งการจะให้ประกันหรือไม่ให้ประกันก็เป็นเรื่องของศาลเช่นเดียวกัน ไม่มีอำนาจไปก้าวล่วง  กฎหมายเป็นของทุกคน เป็นของสังคมและเป็นของประชาชนโดยรวม ไม่ใช่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะละเว้นกฎหมายได้
    ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าการจับกุมมือประกอบระเบิดไปป์บอมบ์ ได้กำชับฝ่ายมั่นคงให้เข้มงวดในการตรวจสอบการลักลอบระเบิดอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เป็นสิ่งที่น่ายินดีที่จับกุมได้ และไม่ควรจะมีคำถามว่าเป็นการจัดฉากของภาครัฐหรือไม่ ไม่เคยมีนโยบายให้ไปทำเรื่องเหล่านี้ คงไม่กล้าทำและทำไม่ได้อยู่แล้ว เพราะทุกอย่างมีหลักฐาน เพราะรับสารภาพว่าเป็นคนทำและทำมาจากบ้าน.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"