วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลง


เพิ่มเพื่อน    

   เมื่อก่อนย้อนหลังไปสัก 10 ปีน่าจะได้ หรืออาจจะสัก 1 โหลปี ... ถ้าใครเรียนจบระดับมหาวิทยาลัยแล้ว หางานทำในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานครไม่ได้ล่ะก็ มักจะถูกมองว่า...ไม่เจ๋ง ไม่แน่จริง หรือถึงขั้นถูกมองว่าน่าสงสาร น่าเวทนาที่ต้องเดินคอตกกลับไปบ้านเกิดเมืองนอน

            แต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว...เทรนด์ที่มาแรงคือ การกลับไปทำมาหากิน และเรียนรู้อยู่กับสโลว์ไลฟ์ในบ้านเกิด นอกจากนั้น..ยังมีกระแสคนในเมืองใหญ่ คนจากเมืองหลวง พยายามขวนขวายที่จะไปลงหลักปักฐานที่บ้านนอกห่างไกลจากชีวิตเมืองที่วุ่นวาย

            ชีวิตจะดีในยุคนี้ กลายเป็นว่าสามารถใช้สรรพสิ่งที่พ่อแม่เคยสร้างไว้นั้น "ต่อยอด" ให้สนองตอบต่อไลฟ์สไตล์ของคนนิวเจน 

            ไปไหนมาไหนทั้งในเมืองใหญ่หรือบ้านนอก เราจึงเห็นร้านกาแฟ ร้านอาหาร ที่พักริมทาง รวมทั้งรีสอร์ต เนรมิตขึ้นมาจากท้องไร่ท้องนา

            บรรดาตึกแถวในเมืองที่เคยเป็นทำเลทอง "เอาต์" หรือตกเทรนด์เสียแล้ว สำหรับร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขนมทั้งหลาย เพราะไม่มีอะไรน่าสนใจที่จะให้เซลฟี วีฟี แชะแล้วโพสต์หรือแชร์ให้โลกรู้

            เรียกว่า ถ้าขายอาหารล่ะก็ หากไม่อร่อยจริง แล้วขายตามตึกแถว อาจจะนั่งตบยุงได้ ในขณะที่ร้านในท้องไร่ท้องนา ต่อให้อาหารรับประทานไม่ลงก็สามารถคึกคัก มีคนเข้าไปเยี่ยมเยียนมากมาย เพราะความนิยมชมชอบ "วิว" มากกว่ารสชาติของอาหารหรือเครื่องดื่มนั่นเอง

                นี่แหละวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป

            แล้วลองจินตนาการว่าอีก 10 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีต่างๆ จะพัฒนาไปมากกว่านี้ มนุษย์ป้าอย่างเราจะตามทันไหม..ก็สงสัย เพราะเมื่อวันก่อนกลับไปเดินท่าพระจันทร์ ถิ่นทำเลเก่าที่ได้เรียนรู้ศึกษาอยู่นานถึง 4 ปีนั้น ริมน้ำเจ้าพระยามีอะไรที่ตื่นตาตื่นใจเสียจน...เฮ้อ!! ข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยวอาม่า อาเฮีย คุณป้า ..ที่เคยกินมันหายไปไหนหมด มีแต่ร้านรวงชื่อดังฝรั่งมังค่าเยอะแยะจนนึกว่าหลงอยู่ในสยามสแควร์เสียอีกนะ.

       "ป้าเอง" 

 

 

 

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"