ร่วมด้วยช่วยกัน'ลุงอดุลย์'อ้อนวอน'เพนกวิน'หยุดทำร้ายตัวเอง


เพิ่มเพื่อน    

16 เมษายน 2564 นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’35 แกนนำ กลุ่มไทยไม่ทน สามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย กล่าวถึงการเรียกร้องให้ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน  แกนนำกลุ่มราษฎรผู้ต้องขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตามความผิดมาตรา 112 มาตรา 116  เลิกอดอาหาร หยุดการอดข้าวประท้วง  ว่า อยากให้เพนกวินหยุดทำร้ายตัวเองด้วยการอดข้าวอยากให้รักษาชีวิตไว้ก่อน เพื่อต่อสู้ตามอุดมการณ์ในอนาคตเพราะอายุยังน้อยการต่อสู้ยังอีกยาวไกลไม่สมควรที่จะมาเสียสละชีวิตในตอนนี้ โดยตกหลุมพรางการใช้ไอโอของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เคยบอกว่าจะไม่ใช่ม.112 แต่ปัจจุบันกลับมาใช้อย่างฟุ่มเฟือยซึ่งการแจ้งความในฐานความผิดตามม.112นั้นควรเป็นหน้าที่การพิจารณาของอัยการสูงสุด(อสส.)กับสำนักพระราชวัง  ไม่ใช่ใครจะเป็นผู้เสียหายไปแจ้งความว่าใครมีความผิดตามม.112ที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งได้สร้างความเดือดร้อนเสียหายกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เป็นภาระของกระบวนการยุติธรรม แต่พล.อ.ประยุทธ์กลับลอยตัวอยู่เหนือปัญหา

“ในอดีตถึงปัจจุบันมีคนที่ยอมเสียสละชีวิตเพื่ออุดมการณ์มีเยอะแล้วแม้กระทั่งลูกชายของลุงเองที่ยอมเสียสละชีวิตเพื่อรักษาประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการรสช. แต่จะต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่าว่ามีน้ำหนักที่จะต้องเสียสละชีวิตมากน้อยแค่ไหน เพราะเพนกวินอาจจะต้องเป็นแกนนำของบ้านเมืองในอนาคต ในขณะที่ลุงเป็นไม้ใกล้ฝั่งอีกไม่นานก็จะเป็นอดีตไปแล้ว จึงได้แต่อ้อนวอนลูกหลานว่าอย่าเอาชีวิตมาแลกแบบนี้เลยให้เอาชีวิตของลุงไปจะดีกว่าที่จะเอาอนาคตของชาติไปก่อนวัยอันควร”นายอดุลย์ กล่าว

นายอดุลย์ กล่าวว่า ในเรื่องม.112ไม่เห็นด้วยที่จะยกเลิกควรเป็นหน้าที่ของอัยการสูงสุดกับสำนักพระราชวังว่าจะพิจารณาว่าจะฟ้องใครหรือไม่และควรเน้นการปรับทัศนคติกับผู้ถูกกล่าวหาเพราะเป็นเรื่องความเชื่อทางการเมือง ในอดีตมีแต่คนบ้ากันคนเมาที่โดนข้อหานี้ แต่ปัจจุบันมีคนถูกกล่าวหาจำนวนมาก เมื่อเป็นเรื่องความเชื่อในเรื่องอุดมการณ์หากมีการจำคุกแล้วมีการปรับทัศนคติจนเข้าใจดีแล้วว่ากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงรักและห่วงใยราษฎรของพระองค์แค่ไหนก็ไม่ควรถูกจองจำอีกต่อไป ดังนั้นจึงไม่ควรกำหนดโทษขั้นต่ำ3ปีแบบปัจจุบัน บางคนที่ถูกกล่าวหาเมื่อปรับทัศนคติแล้วติดคุก1เดือนหรือ1ปีก็ควรปล่อยออกมาให้อยู่ร่วมกับสังคมได้ เพราะการเอาคนที่เห็นต่างไปคุมขังนานๆก็ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนความคิดเขาได้ 


“คนธรรมดายังมีกฎหมายปกป้องตนเองใครดูหมิ่นใส่ร้ายก็มีกฎหมายหมิ่นประมาทคุ้มครอง แล้วสถาบันพระมหากษัตริย์ จะไม่มีกฎหมายคุ้มครองได้อย่างไร ในฐานะประมุขสุดของประเทศใครจะล่วงละเมิดไม่ได้ แต่จะให้พระองค์ไปฟ้องราษฎรย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เพราะพระองค์ทรงรักราษฎรทุกคน ในหลวงร.9เคยมีพระราชดำริว่าสถาบันพระมหากษัตริย์สามารถวิจารณ์ได้  แต่ไม่ใช่การดูหมิ่นเหยียดหยามแบบปัจจุบันนี้ จึงเป็นหน้าที่ของอัยการสูงสุดกับสำนักพระราชวัง ในการพิจารณาสั่งฟ้องหรือไม่ ไม่ใช่ปล่อยให้ตำรวจรับแจ้งความแล้วฟ้องแบบมั่วซั่วเช่นในปัจจุบัน จนทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องเดือดร้อน” นายอดุลย์ กล่าว

ประธานญาติวีรชนฯ กล่าวด้วยว่า หลังเหตุการณ์พฤษภา’35ตนต่อสู้กับเผด็จการสช.ทุกรูปแบบทั้งในประเทศและต่างประเทศไปถึงองค์การสหประชาชาติ จนถึงปี2542ถึงชนะแบบเบ็ดเสร็จ  ซึ่งช่วงนั้นตนไม่ใช่นายอดุลย์แบบคนธรรมดาทั่วไปเพราะถูกมองว่าเป็นบุคคลอันตรายจะทำมาค้าขายกับใครก็ลำบาก  จนต้องเปลี่ยนชื่อถึงมาอยู่ในสังคมแบบปกติได้อีก จึงอยากนำประสบการณ์ของตัวเองมาบอกลูกหลานด้วยความห่วงใยในฐานะอนาคตของชาติ อยากให้รักษาชีวิตไว้จึงขออ้อนวอนพิจารณาด้วยความถ่องแท้ ส่วนจะตัดสินใจอย่างไรก็ไม่ขัดขวาง เคารพในการทำหน้าที่ของแต่ละคน ซึ่งตนก็ไม่คิดว่าจะต้องมาทำหน้าที่ไล่เผด็จการระบอบประยุทธ์ในยามใกล้ฝั่งแต่ก็จำเป็นเพื่ออนาคตของลูกหลานเช่นกัน


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"