ก้าวต่อไปของ'วิชาประวัติศาสตร์ ' สารตั้งต้นเรียนรู้อดีต สู่โลกอนาตต

การที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ. ) ประกาศแยกวิชาประวัติศาสตร์พื้นฐาน  ที่มี 8 กลุ่มสาระวิชา กลายเป็นโครงสร้างการเรียนใหม่ที่เรียกว่า 8 + 1  ใช้ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 เป็นต้นไป อีกด้านหนึ่งเกิดกระแสคัดค้านทำนองว่าเป็นการบังคับให้เด็กรักชาติ  ขณะที่ นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศธ. ก็ได้ออกมายืนยันว่า เป็นการทำให้การเรียนการสอน วิชาประวัติศาสตร์มีความทันสมัยและน่าสนใจ    ไม่ใช่การเรียนการสอนที่ดูน่าเบื่อ หรือเน้นการท่องจำ  แต่จะเป็นการเรียนการสอนที่ทำให้เด็กคิดวิเคราะห์เป็น  ไม่ใช่การยัดเยียดความคิดด้านใดด้านหนึ่ง  

ที่ผ่านมาอาจกล่าวได้ว่าวิชาประวัติศาสตร์ เป็นวิชานอกสายตาทั้งผู้เรียนและผู้สอนมาโดยตลอด เมื่อปี2565 ทางเว็บไซต์ Eduzones ได้ทำการสำรวจวิชาเรียนที่ทุกคนเรียกร้องให้มีการยกเลิกสอนในโรงเรียน ซึ่งวิชาประวัติศาสตร์ ติดเป็น 1 ใน 5 ของวิชาที่ควรถูกยกเลิกมากที่สุด รองจากวิชาลูกเสือ พระพุทธศาสนา พลศึกษา และกระบี่กระบอง  

ขณะที่กระแสโลกเอง แม้จะอยู่ในยุคดิจิทัล แต่การศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศพัฒนาแล้ว ล้วนให้ความสำคัญกับวิชาประวัติศาสตร์ไม่น้อยไปกว่าวิชาคณิตศาสตร็์  หรือวิทยาศาสตร์  จัดเป็นวิชาจำเป็นที่เด็กๆต้องเรียนรู้   เนื่องจาก มองว่าวิชาประวัติศาสตร์เป็นการเรียนเพื่อเชื่อมโยงโลก ปัจจุบัน กับอดีต และนำไปสู่การต่อยอดโลกอนาคต

เมื่อเร็วๆนี้  บริษัท อักษร เอ็ดดูเคชั่น ผู้พิมพ์ตำราเรียน ได้จัดการเสวนาหัวข้อ “สอนประวัติศาสตร์อย่างไร ในวันที่เราบอกเด็กไทยให้มองไปข้างหน้า” โดยตะวัน เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อักษร เอ็ดดูเคชั่น จำกัด (มหาชน) และ ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน นักวิชาการที่ทำPodcast เนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในสื่อออนไลน์แห่งหนึ่ง  ได้ให้มุมมองว่า ในวัยเด็กทุกคนคงมีความคิดว่าวิชาประวัติศาสตร์น่าเบื่อ และจำเยอะมาก แต่ในทางกลับกันวิชานี้ก็ไม่เคยถูกให้เหตุผลว่าทำไมต้องจำเนื้อหามากมายขนาดนี้  ซึ่งหากย้อนกลับไปมองแต่ละระดับชั้นก็จะมีการสอนประวัติศาสตร์ตามลำดับจากประวัติศาสตร์ที่เกิดในประเทศ สู่เรื่องราวของประวัติศาสตร์โลก ที่บางครั้งก็น่าเบื่อ บางครั้งเรียนสนุก แต่ก็ไม่รู้เรื่อง ซึ่งในความจริงแล้วเราทุกคนเรียนรู้ประวัติศาสตร์ตลอดเวลาไม่ว่าจะในวิชาใด

ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน

“ดังนั้นอยากให้มองว่า วิชาประวัติศาสตร์ เป็นเพียงสารตั้งต้น แต่คนที่จะให้ชีวิตกับประวัติศาสตร์ คือ นักเรียน ที่จะต้องตั้งคำถาม และครู ที่คอยช่วยไกด์ เพราะประวัติศาสตร์เป็นมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ ขึ้นอยู่กับเราจะเรียนอะไร เรียนอย่างไร เรียนแล้วได้อะไร และจะต่อยอดอย่างไร ฉะนั้น การเรียนประวัติศาสตร์ก็เพื่อไม่ทำผิดซ้ำ”

ดร.วิทย์ ยังบอกอีกว่า ไม่มีประเทศไหนไม่เรียนประวัติศาสตร์ประเทศตนเอง เพราะหากเข้าใจประวัติศาสตร์ จะรู้ว่าประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาถูกเขียนขึ้นจากชาวฮอลแลนด์  และชาวฝรั่งเศส ต่อมาก็ถูกรวบรวมเป็นบทเรียนโดยนักวิชาการประวัติศาสตร์ไทย แต่ที่ต้องรู้คือ ทุกประเทศย่อมเขียนให้ประเทศตนเองดูดี ยกเว้นประเทศเยอรมันนีที่เขียนเกี่ยวความเสียหายที่นาซีสร้างไว้

ด้านปัญหาของการเรียนการสอนในไทย ดร.วิทย์ มองว่า  อาจจะเพราะในการเรียนไม่มีการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ไทย กับประวัติศาสตร์โลก ซึ่งการระบุข้อมูลเหตุการณ์ในแบบเรียนด้วยพ.ศ. อาจจะทำให้ไม่สามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์โลกได้ แต่ครูก็ต้องมีการไกด์ให้เด็ก ส่วนเด็กก็ต้องอยากจะต่อยอดเพียงแปลงจากพ.ศ. เป็น ค.ศ. นั้นไม่ยาก ยิ่งถ้าได้ศึกษาประวัติศาสตร์ไทยในบริบทประวัติศาสตร์ก็จะช่วยให้การเรียนการสอนสนุกมากยิ่งขึ้น เช่น ในปีพ.ศ.2325 ที่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ตรงกับปี ค.ศ.1782 มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นคือ อังกฤษประกาศเอกราชจากจักรวรรดิบริเตน และ 7 ปีต่อมามีการปฏิวิติฝรั่งเศส เกิดความผันผวนของโลก จึงทำให้ไม่มีสงครามในไทย

“อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์อาจมีการผสมปนเปกันระหว่างความจริงและเรื่องเล่า เด็กบางส่วนรู้สึกว่าเป็นเรื่องล้าหลัง   แต่หนึ่งในทักษะสำคัญที่เด็กจะได้ฝึกฝน และเรียนรู้จากวิชานี้ เพื่อวิเคราะห์แยกแยะว่า ควรจะเชื่อหรือไม่เชื่ออะไร และเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงอย่างสมเหตุสมผล ดร.วิทย์ ชี้ว่า นี่คือทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในทักษะสำคัญของศตวรรษที่ 21 และยังเป็นหนึ่งในทักษะของเด็กยุคใหม่ ดังนั้นเด็กก็ต้องใส่ใจเรียนรู้ ครูก็ต้องเป็นผู้ไกด์ ปลูกฝั่งความอยากรู้ของเด็กด้วย “ดร.วิทย์กล่าว

ตะวัน เทวอักษร

ในฐานะผู้ผลิตตำราเรียน นักเรียนตั้งแต่ขั้นประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย ตะวัน  ซีอีโอ ของอักษรเจริญทัศน์ ให้ความเห็นว่า ในการเรียนการสอนยุคใหม่ ก็ได้มีการจุดประกายและออกแบบวิธีการสอน หรือ ไกด์ไลน์สำหรับครู  จึงได้มีการจัดทำคู่มือสำหรับครู ที่จะช่วยจัดการเรียนการสอนอย่างไร เริ่มต้นจากทำไมต้องเรียนเรื่องนี้  น่าสนใจอย่างไร จะต่อยอดไปเรื่องอื่นอย่างไร เป็นการจุดประกายให้ครูทำให้เด็กเห็นว่า เรื่องนี้น่าสนใจอย่างไร ทำให้เกิด Active Learning กับนักเรียน 


” ทิศทางของแบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ที่เป็นตัวกลางเชื่อมครูและนักเรียน โดยทางอักษรได้ออกแบบวิธีการสอนวิชาประวัติศาสตร์ที่สัมพันธ์กับกระบวนการคิดของผู้เรียนในรูปแบบที่เรียกว่า 5Es ได้แก่ กระตุ้นความสนใจ (Engage) สำรวจค้นหา (Explore) อธิบายความรู้ (Explain) ขยายความเข้าใจ (Expand) และ ตรวจสอบผล (Evaluate) เป็นรูปแบบที่เน้นกระบวนการพัฒนาศักยภาพการคิด และการสร้างองค์ความรู้ด้วยตัวผู้เรียนเอง”

ตะวัน ยังบอกอีกว่าในความคิดของเขา มองว่าแบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์จะมีการอัพเนื้อหาในหนังสือประมาณ 3-4 ปีต่อครั้ง    แต่ส่วนไกด์ไลน์ของครู จะต้องมีการอัพเดตในทุกปี ทั้งนี้แนวการสอนที่สำคัญสำหรับครู ถ้าหากมีครู ที่จบสายตรงมาสอนก็นับว่าเป็นเรื่องดี แต่ด้วยทรัพยากรครูที่ไม่เพียงพอ ในการสอนครูอาจจะเชื่อมโยงแบบเรียนกับการตั้งคำถามด้วยการใช้  Why และ How ที่ตอบยากกว่า แทนการถาม What ,Where, When ,Who คำถามเหล่านี้กระตุ้นให้เด็กคิด ไตร่ตรอง และหาคำตอบ สิ่งนี้จะช่วยสนับสนุนทำให้ครูผู้สอนสร้างการสอนที่ทำให้เด็ก ๆ ตื่นเต้น แล้วก็อยากจะเรียนรู้ได้ ไม่ใช่แค่เฉพาะในวิชาประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นทุกวิชา ทุกระดับชั้น

ดร.วิทย์ ได้ทิ้งท้ายให้ชวนคิดว่า ประวัติศาสตร์ก็เหมือนตึก ถึงจะวิวัฒนาการไปขนาดไหน แต่ฐานรากมันเหมือนเดิม คือ มีความเชย เป็นคอนกรีตแท่งซีเมนต์ แต่ถ้าไม่มีตึกก็อยู่ไม่ได้ ประวัติศาสตร์ไม่ใช่วิชาชีพ แต่มันเป็นระบบคิด .

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“รมว.นฤมล”น้อมนำพระราชดำรัส ร.10 เน้นวิชาประวัติศาสตร์ให้เด็กได้คิดวิเคราะห์ เผย 29 ต.ค.เซ็น MOU การเคหะ ซ่อมสร้างบ้านพักครู เตรียมปรับหลักเกณฑ์วิทยฐานะครูใหม่

เมื่อวันที่ 24 ต.ค.68 ที่โรงแรมเดอะ คาวาลิ คาซ่า รีสอร์ท จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

'ครูวีระ' เผยเหตุ 'เขมร' เกลียดชังคนไทย มีอาวุธยุทโธปกรณ์ครบครัน ก็พร้อมฆ่าคนไทยได้ทุกเมื่อ

นายวีระ สุดสังข์ หรือ "ฟอน ฝ้าฟาง" ศิลปินมรดกอีสาน ปี 2558 อดีตครูสอนภาษาไทย นักเขียนอิสระ ผู้ก่อตั้งกลุ่มวรรณกรรมลำน้ำมูลและสโมสรนักเขียนภาคอีสาน โพสต์เฟซบุ๊กโพสต์เฟซบุ๊กถึงการสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า

'อดีตคณบดีวิจิตรศิลป์ มช.' ถามดังๆ ใครอันตรายกว่ากันในการสอนประวัติศาสตร์

รศ.อัศวิณีย์ หวานจริง อดีตคณบดีคณะวิจิตรศิลป์ ภาควิชาศิลปะไทย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัวว่า การสอนประวัติศาสตร์..ผู้เรียนมาย่อมสอนได้…ไม่มีข้อห้าม เพียงต้องสอนตามความจริงที่เกิด

'ชาญวิทย์' ทุกข์ใจมาก! วิชาประวัติศาสตร์ไทยน่าเบื่อ ให้ท่องจำ ชื่อราชธานี-บรรดานามกษัตริย์

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ The Subject of Histor

มท. แจ้ง อปท.จัดสอนวิชาประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง ไม่ให้เยาวชนถูกครอบงำชักจูงทำผิดกฎหมาย

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทยและโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า จากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย มีนโยบายให้หน่วยหน่วยงานภายใต้การกำกับร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศให้เป็นผู้ที่มีความรักเทิดทูนในสถาบันหลักและภูมิใจในประวัติศาสตร์ของชาติ

ห่วงครูสาวบูลลี่ 'พล.อ.เปรม' โดนลงโทษ 'เจ๊เจี๊ยบ' แนะสังคายนาวิชาประวัติศาสตร์ เลิกยัดเยียดรักชาติ

'เจ๊เจี๊ยบ' ห่วงครูสาวบูลลี่'เปรม' โดนลงโทษเกินเหตุ แนะ สังคายนา วิชาประวัติศาสตร์ เลิกยัดเยียดรักชาติ ปลูกฝังแนวคิดราชาชาตินิยมด้านเดียว ฝาก 'ประยุทธ์' รื้อหลักสูตรจปร. ศึกษาประชาธิปไตยแบบใหม่ รู้คุณภาษีราษฎร