
38ม.ค.2568- กรีนพีซ ประเทศไทย ออกจดหมายเรียกร้องนายกฯครม.ส.ส. เร่งรัดออกกฎหมาย PRTR เปิดเผยข้อมูลมลพิษเพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ดังมีเนื้อหาดังนี้
เรียน นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ปัญหามลพิษทางอากาศฝุ่นพิษ PM2.5 เป็นปัญหาสะสมเรื้อรังมากว่าทศวรรษ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ในภูมิภาคใดของประเทศ อากาศสะอาดบริสุทธิ์กลายเป็นสิ่งที่หาได้ยาก ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ไม่เลือกชนชั้น เพศ การศึกษา อาชีพ แต่กระทบกับทุกคนที่ต้องการอากาศที่จะหายใจ แต่ความสามารถของผู้คนในการรับมือกับฝุ่นพิษนี้ต่างกัน การมีอากาศที่ดี สะอาด และสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยจึงเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน และเป็นหน้าที่ของรัฐในการสร้างหลักประกันความปลอดภัยดังกล่าว เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของประชากรทุกคนในประเทศนี้
อย่างไรก็ตาม มาตรการการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ของรัฐบาลยังคงเน้นการแก้ไขปัญหาที่ปลายทาง มากกว่าต้นทาง ทั้งมุ่งเน้นสาเหตุการเกิดฝุ่นพิษจากการเผาในที่แจ้งของภาคการเกษตร ไฟป่า และทางคมนาคม แต่กลับละเลย ‘ภาคอุตสาหกรรม’ ที่เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดฝุ่นพิษ พวกเขาเป็น “ผู้ก่อมลพิษรายใหญ่แต่รัฐกลับเลือกที่จะมีมาตรการในการกำกับและตรวจสอบน้อยที่สุด”
จากการศึกษาของเครือข่ายพลังงานเพื่อนิเวศวิทยาแม่น้ำโขง ระบุว่า “ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑลมีแหล่งกำเนิดฝุ่นและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขนาดใหญ่ คือ โรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิล โรงกลั่นน้ำมันที่มีกำลังผลิตสูงมาก ซึ่งปล่อยฝุ่นมากกว่ารถยนต์หลายเท่า” [1]
มูลนิธิบูรณะนิเวศได้ศึกษาข้อมูลโดย อ้างอิงฐานข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรมเมื่อปี 2560 ว่า ทั่วประเทศพบว่ามีจำนวนโรงงานอุตสาหกรรมมากถึง 125,363 แห่ง ในจำนวนนี้มีถึง 63,350 แห่งที่อยู่ในข่ายเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศอย่างมีนัยสำคัญ แต่ในจำนวนดังกล่าวก็ยังไม่รวมถึงข้อมูลโรงไฟฟ้าชนิดต่าง ๆ และโรงงานบางประเภท[2] และจากการศึกษาภายใต้โครงการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครเพื่อสุขภาวะองค์รวม (โครงการสมุทรสาครสีเขียว) ในการดูแลของมูลนิธิบูรณะนิเวศเมื่อปี 2564 พบชัดเจนว่า จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งจัดเป็นเมืองอันดับหนึ่งของประเทศไทยที่เผชิญปัญหาฝุ่นรุนแรงที่สุด โดยที่มักมีการเชื่อมโยงแหล่งกำเนิดว่ามาจากภาคคมนาคมขนส่ง แท้ที่จริงแล้ว แหล่งกำเนิดใหญ่ที่สุดของฝุ่น PM2.5 และ PM10 ในจังหวัดนี้ก็คือโรงงานอุตสาหกรรม โดยที่แหล่งกำเนิดภาคอุตสาหกรรมก่อให้เกิดฝุ่นขนาดเล็กมากกว่าภาคคมนาคมขนส่งสูงกว่า 220-350 เท่า กล่าวคือ ภาคอุตสาหกรรมมีการปล่อยฝุ่นพิษPM2.5 ปริมาณ 44,476.46 ตันต่อปี และ PM 10 ปริมาณ 70,987.91 ตันต่อปี ขณะที่ภาคขนส่งมีการปล่อยฝุ่นพิษ PM2.5 และ PM10 ในปริมาณ 197.67 ตันต่อปี และ 203.08 ตันต่อปี ตามลำดับ[3]
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม มูลนิธิบูรณะนิเวศ และกรีนพีซ ประเทศไทย ได้ยื่นรายชื่อประชาชน 12,165 รายชื่อ เพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติการรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ (ร่าง พ.ร.บ. PRTR – Pollutant Release and Transfer Register) ซึ่งเป็นกฎหมายที่จะทำให้เกิดฐานข้อมูลระดับประเทศ ที่รวมข้อมูลการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นอากาศ แหล่งน้ำ และพื้นดิน จากโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า เหมืองแร่ รวมถึงรถยนต์ประเภทต่าง ๆ และการใช้สารเคมีในภาคการเกษตร ที่จะทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึง (Open Data) เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ และให้ภาครัฐมีข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนครอบคลุมสำหรับการแก้ไขปัญหามลพิษในทุกด้าน เพื่อที่จะคุ้มครองสุขภาพของประชาชน ลดความเสียหายของภาคธุรกิจและการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจและการค้าเติบโตอย่างมั่นคงยั่งยืนควบคู่ไปกับสิ่งแวดล้อมที่ดี สะอาด และปลอดภัยสำหรับประชากรทุกคนในประเทศนี้
ปัจจุบันร่างกฎหมายดังกล่าวยังคงค้างอยู่ในชั้นการบรรจุวาระเพื่อเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระที่หนึ่ง (ขั้นรับหลักการ) มาตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2567 จนถึงปัจจุบันเท่ากับว่าได้ผ่านเวลามาแล้วกว่าครึ่งปีที่ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวและไม่มีท่าทีว่าจะถูกหยิบยกมาพิจารณาในเร็ววัน
มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม มูลนิธิบูรณะนิเวศ และกรีนพีซ ประเทศไทย ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกพรรคการเมือง ร่วมกันแสดงถึงความจริงจังและจริงใจต่อการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษPM2.5 บนฐานของการใช้ข้อมูลเพื่อควบคุมการปล่อยฝุ่นพิษ PM2.5 จากแหล่งกำเนิดทุกภาคส่วนอย่างครอบคลุม ด้วยการเร่งรัดผลักดันให้ ร่าง พ.ร.บ. PRTR ถูกนำขึ้นมาพิจารณาและตราเป็นกฎหมายออกบังคับใช้โดยเร็วที่สุด เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมและนำไปสู่การกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด เพื่อคืนอากาศบริสุทธิ์สำหรับการหายใจและดำรงชีพในสิ่งแวดล้อมที่ดีให้แก่ประชาชนทุกคน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นายกฯ นั่งหัวโต๊ะดึง 4 กระทรวงแก้เผาอ้อยและพืชไร่
นายกฯ นั่งหัวโต๊ะลงนาม 4 กระทรวง ควบคุมการเผาอ้อยและพืชไร่ ป้องกันปัญหาฝุ่น PM 2.5 ด้านกระทรวงอุตสาหกรรม โชว์ผลงานเผาอ้อยเป็น 0% คืนอากาศบริสุทธิ์ให้ประชาชนช่วงปีใหม่
สื่อทำเนียบฯ งดตั้งฉายา 'รัฐบาลอนุทิน'
สื่อทำเนียบฯ งดตั้งฉายา 'รัฐบาลอนุทิน' เหตุเป็นรัฐบาลรักษาการ หลังนายกฯยุบสภาฯ
'อนุทิน' ลั่นพร้อมเป็นนายกฯ จะทำให้ดีและยิ่งใหญ่กว่า 3 เดือนที่ผ่านมา
'อนุทิน' ประกาศ 'ผมเป็นนายกฯ' พร้อมดัน 'เอกนิติ -ศุภจี-สีหศักดิ์' เป็นรองนายกฯ สู้ศึกเลือกตั้ง โวมีสส.เพิ่มทุกครั้ง พร้อมเปิดนโยบายทหารอาสา 1 แสนคนเงินเดือน 1.2 หมื่นเพิ่มความเข้มแข็งปกป้องอธิปไตย
นายกฯ เยี่ยมนาวิกโยธินเหยียบกับระเบิด ฝาก 'นานาชาติ' อย่าเอาแต่บอกไทยหยุดยิง ให้ไปบอกเขมร
นายกฯเยี่ยมนาวิกโยธิน เหยียบทุ่นระเบิดบาดเจ็บ ฝากถึงนานาชาติ อย่าเอาแต่บอกให้ไทยหยุดยิง ให้ไปบอกเขมร ลั่นเลิกเกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหม เดินหน้าสถาปนาอธิปไตยเหนือชายแดนโดยเร็วที่สุด
นายกฯ เยี่ยมศูนย์อพยพ จ.สุรินทร์ นั่งระบายสี 'รถฮัมวี่ติดปืนกล' ร่วมกับเด็ก ลั่นรบ.จะดูแลเต็มที่
นายกฯ เยี่ยมศูนย์อพยพที่สุรินทร์ นั่งระบายสี ‘รถฮัมวี่ติดปืนกล’ ร่วมกับเด็กๆ เดินทักทาย-ให้กำลังใจชาวบ้าน-จนท. พร้อมขอให้อยู่ที่ศูนย์ไปก่อน รัฐบาลจะดูแลเต็มที่ ก่อนไปเยี่ยมทหารเหยียบระเบิดที่จันทบุรีต่อ
'อนุทิน' เปิดพรรครับ 'กลุ่มรักสถาบัน' ให้กำลังใจ ปกป้องอธิปไตยไทย
'อนุทิน' เปิดพรรค รับดอกไม้-หนังสือ 'กลุ่มศปปส.' ให้กำลังใจปกป้องอธิปไตย ลั่นไทยไม่มีแพ้ ขอมั่นใจพร้อมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ทหาร

