
ฝุ่น PM 2.5 เป็นวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุขที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพกายและใจของประชาชน โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยแหล่งกำเนิดมลพิษมากมาย ขณะที่มาตรการควบคุมฝุ่น เช่น การลดการใช้รถยนต์หรือการควบคุมโรงงานอุตสาหกรรมอาจต้องใช้เวลาและการปรับตัวในระยะยาว ซึ่งยังไม่ทันกับการแก้ปัญหาและลดข้อกังวลให้กับ ทุกภาคส่วนได้
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างรอบด้าน จะพาไปเจาะลึกแนวทางที่ช่วยสร้างเกราะคุ้มฝุ่นและสร้างความมั่นใจการดำเนินชีวิตในระยะยาวได้ โดยเป็นมุมมองเชิงสถาปัตยกรรม “โครงสร้างอาคารอัจฉริยะ” จาก ผศ. ดร.จิฐิพร วงศ์วัชรไพบูลย์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง ม.ธรรมศาสตร์ ที่จะมากระตุ้นและกระตุกแนวคิดการออกแบบทางสถาปัตย์ในไทยให้ดีและรักษ์โลกกว่าที่เคย

ผศ. ดร.จิฐิพร กล่าวว่า การออกแบบอาคารที่สามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากฝุ่นเป็นแนวทางสำคัญที่สถาปนิกและวิศวกรควรให้ความสำคัญ และหนึ่งในหลักการเชิงโครงสร้างที่ช่วยลดปริมาณฝุ่นในอากาศคือการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ในอาคาร โดยพบว่าไอน้ำในอากาศในปริมาณที่สูงจะช่วยลดการลอยตัวของฝุ่นละออง และอุณหภูมิที่ต่ำลงเล็กน้อยจะช่วยให้ฝุ่นตกตะกอนได้เร็วขึ้น ดังนั้น การออกแบบที่สามารถรักษาสมดุลของอุณหภูมิและความชื้นจะเป็นปัจจัยที่ช่วยลดฝุ่นละอองภายในอาคารได้
การออกแบบฟาซาด (Façade) หรือเปลือกอาคารเป็นเกราะแรกที่ช่วยกรองฝุ่นละอองและลดการกระจายของมลพิษทางอากาศได้ ซึ่งฟาซาดที่โปร่งและสามารถระบายอากาศได้ดีจะช่วยป้องกันไม่ให้ฝุ่นสะสมในพื้นที่อาคารมากเกินไป นอกจากนี้ ฟาซาดอาคารแบบกรองฝุ่น (Breathable Facade) ใช้ผนังที่มีโครงสร้างโปร่งและวัสดุกรองฝุ่นเพื่อดักจับฝุ่นละอองก่อนเข้าสู่ภายใน เช่น การใช้วัสดุกรองอากาศแบบละเอียด หรือการติดตั้งแผงกั้นฝุ่นที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยลดปริมาณฝุ่นที่เข้าสู่พื้นที่ภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน

ผศ.ดร.จิฐิพร กล่าวอีกว่า การออกแบบระบบกรองอากาศอาคาร เป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการติดตั้งระบบปรับอากาศที่ติดตั้งตัวกรอง HEPA หรือ Electrostatic Precipitator เพื่อดักจับฝุ่น PM2.5 ในอัตราที่เหมาะสมต่อพื้นที่ใช้สอย จะช่วยให้คุณภาพอากาศภายในอาคารดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ การใช้ตัวกรองดักจับฝุ่นด้วยไฟฟ้าสถิต จะช่วยลดปริมาณฝุ่นที่ลอยอยู่ในอากาศได้มากขึ้น การหมุนเวียนอากาศที่ดีภายในอาคารก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยลดการสะสมของมลพิษ โดยการออกแบบให้มีช่องเปิดสำหรับระบายอากาศ หรือการใช้ระบบไหลเวียนอากาศแบบควบคุมจะช่วยให้อากาศบริสุทธิ์ไหลเวียนได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการออกแบบอาคารให้เหมาะสมกับทิศทางลมตามธรรมชาติ สามารถช่วยพัดพาฝุ่นออกจากตัวอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวางตำแหน่งของช่องเปิด หน้าต่าง และทิศทางของการไหลเวียนอากาศให้สัมพันธ์กับทิศทางลมในพื้นที่ จะช่วยลดการสะสมของฝุ่นในอาคาร อีกทั้งยังช่วยลดภาระการทำงานของระบบกรองอากาศภายในอีกด้วย
อีกปัจจัยที่ช่วยกรองฝุ่นPM2.5 นั่้นก็คือการนำพื้นที่สีเขียวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบอาคาร ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความสวยงามและความร่มรื่น แต่สามารถดูดซับมลพิษและปรับปรุงคุณภาพอากาศ โดยเฉพาะ Green Wall หรือกำแพงสีเขียว ที่เป็นระบบปลูกต้นไม้แนวตั้งภายในหรือภายนอกอาคาร ซึ่งพืชที่ใช้ใน Green Wall เช่น เฟิร์น พลูด่าง และเดหลี สามารถช่วยดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็ก รวมถึง PM2.5 ได้ในระดับหนึ่ง ทั้งยังช่วยเพิ่มออกซิเจนและลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศได้ อย่างไรก็ตาม การออกแบบ Green Wall ต้องคำนึงถึงโครงสร้างการจัดวางให้เหมาะสม หากติดตั้งแบบหนาแน่นหรือไม่เว้นช่องระบายอากาศที่ดี อาจทำให้เกิดการสะสมของฝุ่นแทนที่จะเป็นการกรอง ส่งผลให้คุณภาพอากาศในพื้นที่ใกล้เคียงไม่ดีขึ้นตามที่คาดหวัง

นอกจาก Green Wall แล้ว Sky Garden หรือสวนลอยฟ้า ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ช่วยปรับสมดุลคุณภาพอากาศในอาคาร โดยจะช่วยลดอุณหภูมิ ลดความร้อนสะสม และเพิ่มความชื้นในอากาศ ส่งผลให้ปริมาณฝุ่นละอองลดลง ทั้งนี้ การจัดวางพื้นที่ใช้งานใน Sky Garden ควรคำนึงถึงผลกระทบต่อฝุ่น หากมีการจัดวางพื้นที่นั่งเล่นหรือทางเดินไว้ใต้แนวต้นไม้โดยตรง อาจทำให้ฝุ่นที่สะสมบนใบไม้ร่วงลงมายังพื้นที่ด้านล่าง การออกแบบที่ดีจึงต้องมีการเว้นระยะที่เหมาะสมและวางแผนทิศทางลมให้ช่วยพัดพาฝุ่นออกไปแทนที่จะสะสมอยู่ภายในอาคาร
นอกจาก Green Wall อีกหนึ่งนวัตกรรมที่น่าสนใจคือ วัสดุกรองอากาศที่สามารถติดตั้งในระบบโครงสร้างอาคาร เช่น แผ่นกรองอากาศในผนังอาคาร (Activated Carbon Panel) ที่สามารถดูดซับฝุ่นและสารพิษจากอากาศ ที่ทำจากคาร์บอนหรือถ่านกัมมันต์ ซึ่งมีความสามารถในการดูดซับฝุ่นและสารพิษในอากาศได้ดี โดยสามารถนำไปติดตั้งร่วมกับระบบระบายอากาศในอาคารเพื่อช่วยลดปริมาณ PM2.5 ที่เข้าสู่ภายใน นอกจากนี้ ในกลุ่มวัสดุก่อสร้างยังมี คอนกรีตดูดซับมลพิษ ที่ผสมสารเคมีพิเศษเพื่อดูดซับ NOx และฝุ่นละอองจากอากาศ ซึ่งถูกพัฒนาให้มีโครงสร้างรูพรุนแบบไมโครหรือวัสดุเคลือบนาโน (Nano-coating Materials) เช่น ไทเทเนียมไดออกไซด์ (TiO₂) ที่สามารถสลายฝุ่นละอองเมื่อสัมผัสแสงแดดและไอน้ำในอากาศ แม้ว่าเทคโนโลยีนี้ยังไม่แพร่หลายในประเทศไทย แต่ถือเป็นนวัตกรรมที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในอนาคต เพราะวัสดุก่อสร้างเหล่านี้ช่วยเสริมแนวทางการออกแบบอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ผศ. ดร.จิฐิพร ฉายภาพในหลายประเทศทั่วโลกว่า มีการออกแบบอาคารให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสามารถช่วยบรรเทาปัญหามลพิษทางอากาศได้จริง ที่โดดเด่นเช่น “Bosco Verticale” ในอิตาลี ซึ่งเป็นอาคารสูงที่มีการปลูกต้นไม้กว่า 900 ต้น และพืชพรรณนานาชนิดรวมกว่า 20,000 ต้น บนระเบียงของอาคาร การออกแบบนี้ช่วยลดอุณหภูมิภายในอาคาร กรองฝุ่นละออง และลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเมือง ขณะที่ประเทศเนเธอร์แลนด์มี “The Edge” อาคารสำนักงานที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอาคารที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในโลก ก็ถูกออกแบบมาให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการควบคุมคุณภาพอากาศภายในผ่านระบบเซ็นเซอร์อัจฉริยะที่ปรับปริมาณอากาศหมุนเวียนให้เหมาะสมกับจำนวนคนที่อยู่ภายในอาคาร ซึ่งช่วยลดปริมาณฝุ่นที่สะสมและอากาศดีที่ขึ้น

ส่วนในประเทศไทยก็มีแล้ว เช่น “อาคารอุทยานเรียนรู้ป๋วย 100 ปี” มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ต้นแบบของอาคารที่ใช้แนวคิด “หลังคาสีเขียว” ในสถานศึกษา โดยพื้นที่สีเขียวบนหลังคาช่วยลดความร้อนและดักจับฝุ่นละอองได้ ขณะเดียวกัน ภายในอาคารก็มีการติดตั้งระบบกรองอากาศที่ร่วมพัฒนากับ SCG เพื่อช่วยลด PM2.5 และเพิ่มคุณภาพอากาศสำหรับผู้ใช้อาคาร ที่สำคัญเทคโนโลยีการกรองอากาศนี้ยังสามารถประยุกต์นำไปใช้ในรูปแบบที่พกพาได้ เช่น ระบบกรองอากาศในรถยนต์และเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน โดยผู้ขับขี่สามารถกรองอากาศได้แม้จะอยู่บนท้องถนน แนวทางการออกแบบเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการบูรณาการสถาปัตยกรรมกับเทคโนโลยีสามารถช่วยแก้ปัญหามลพิษทางอากาศได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ
ผศ. ดร.จิฐิพร ทิ้งท้ายว่า แม้ว่าการออกแบบอาคารจะช่วยบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองได้บางส่วน แต่สุดท้ายแล้ว มาตรการจากภาครัฐและความร่วมมือของประชาชนก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ หากมีการออกกฎหมายควบคุมการออกแบบอาคารให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กำหนดโซนต้นไม้กันฝุ่น (Green Buffer Zone) ระหว่างเขตอุตสาหกรรมและพื้นที่พักอาศัย จัดการแนวอาคารและทิศทางลมเมือง (Urban Ventilation Corridors) และบังคับใช้มาตรฐานการก่อสร้างที่ช่วยลดฝุ่นอย่างจริงจัง เราก็อาจได้เห็นเมืองที่อากาศสะอาดขึ้น และคุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นกว่าเดิม
“สถาปัตยกรรมไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามอีกต่อไป แต่คือเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กับมลพิษทางอากาศ เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของทุกคน”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พัทยาอ่วม! ฝุ่นพิษปกคลุมทั้งเมืองดัชนีเกินมาตรฐานเกือบ 18 เท่า
พัทยา 'ขาวโพลนทั้งเมือง' AQI พุ่ง 174 ฝุ่น PM2.5 ทะลุแดง เตือนอันตรายเสี่ยงสุขภาพ
ไทยตอนบนอุณหภูมิสูงขึ้น PM2.5 ค่อนข้างมาก
กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิสูงขึ้นและมีหมอกในตอนเช้า แต่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนา
กทม. เดินหน้ายกระดับมาตรการเชิงรุก แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ พร้อมความร่วมมือระดับโลก
การแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้ง ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ องค์กรระหว่างประเทศ และเยาวชนคนรุ่นใหม่ ซึ่งวันนี้ได้มาร่วมงานเปิดโครงการ Breathe Cities ในกรุงเทพมหานครด้วย โดยต้องขอขอบคุณทุกๆ หน่วยงานที่มาช่วยกัน และความสำคัญของเวทีการประชุมเชิงปฏิบัติการ Breathe Cities ในครั้งนี้คือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากเมืองต่างๆ ทั่วโลก เพื่อจะได้นำประสบการณ์ และการดำเนินการที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละประเทศไปปรับใช้ นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างเครือข่ายของเมืองต่างๆ ทั่วโลกที่จะดำเนินการลดมลพิษทางอากาศร่วมกัน
ฮีโร่กลางทุ่งนา: หยุด PM2.5 ผลิตข้าวพรีเมียมกลางกรุง
ในวันที่คนเมืองเงยหน้ามองฟ้าแล้วเจอม่านหมอกฝุ่นแทนเมฆสีขาว มีชาวนาไทยกลุ่มหนึ่งในย่านหนองจอกกำลังลุกขึ้นมาทำบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ "หยุดการเผานา เพื่อช่วยกรองอากาศให้คนทั้งประเทศ"
'ลำพูน วอริเออร์' เปิดตัว'The Air Pollution Jersey' เสื้อบอลแจ้งค่าฝุ่น PM2.5
ลำพูน วอริเออร์ สโมสรฟุตบอลไทยลีก ร่วมกับสภาลมหายใจภาคเหนือ เปิดตัวเสื้อแข่งคอลเลกชันพิเศษ ‘The Air Pollution Jersey’ หรือ ‘เสื้อบอลแจ้งค่าฝุ่น’ ซึ่งเป็นแคมเปญที่ต้องการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนในภาคเหนือ โดยเฉพาะนักฟุตบอลที่ต้องใช้ชีวิตและแข่งขันกลางแจ้งตลอดทั้งฤดูกาล

