'Green ต้องกินได้'โมเดลธุรกิจสีเขียว สไตล์'WHA Group'

 จรีพร จารุกรสกุล

ในวันที่ทรัพยากรธรรมชาติกำลังลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาในภาคธุรกิจจึงต้องมุ่งสู่ความยั่งยืน ควบคู่กับการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า และการใส่ใจต่อผลกระทบที่เกิดกับชุมชน เพื่อสร้างเมืองอุตสาหกรรมที่สมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group ในฐานะผู้นำใน 5 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและพลังงาน ดิจิทัลโซลูชัน และ Mobility ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน และยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความมุ่งมั่น เพื่อสร้างอนาคตที่ดีและสมดุลให้กับทุกภาคส่วน

จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับWHA Group เพราะธุรกิจหลักคือ นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งในอดีตนิคมฯ มักถูกมองว่าเป็นตัวร้ายของสังคม ปล่อยทั้งน้ำเสีย มลพิษทางอากาศ และเสียง หากจัดการไม่ดี ก็จะกลายเป็นภาพลักษณ์ด้านลบที่ติดอยู่ในใจของผู้คน

จรีพร กล่าวต่อว่า สำหรับ WHA Group เชื่อว่าสิ่งแวดล้อมคือหัวใจสำคัญ เพราะบริเวณพื้นที่นิคมมีชุมชนอยู่โดยรอบ ถ้าทำให้ชุมชนเดือดร้อน  ธุรกิจก็จะไม่เติบโต หรืออาจต้องปิดตัว ดังนั้นจึงให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ตั้งแต่การออกแบบนิคมอุตสาหกรรมให้เป็น Smart Eco Industrial Estate & Smart Services พิจารณาตั้งแต่ระบบคมนาคม การเลือกใช้น้ำ ไปจนถึงระบบบำบัดน้ำเสีย ไม่ปล่อยน้ำเสียลงชุมชน แต่ใช้การรีไซเคิลแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่นเดียวกับคุณภาพอากาศ มีการติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดทุกวันเพื่อควบคุมไม่ให้เกิดมลพิษ รวมถึงระบบจัดการของเสียที่ออกแบบไว้อย่างเป็นระบบ

เป้าหมายมุ่งสู่ Net Zero

“สิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องของการสร้างเมืองอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน โดยที่ผ่านมา WHA Group มุ่งมั่นในเรื่อง ESG มาโดยตลอด เพราะเชื่อว่าการพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่ใช่ “ต้นทุน” แต่คือ “การลงทุน” ที่สร้างโอกาสให้กับธุรกิจ แม้ในอดีตหลายคนกังวลว่าแนวทาง ESG จะกลายเป็นภาระเพิ่มต้นทุนธุรกิจให้สูงขึ้น แต่เรายืนยันว่า “Green ต้องกินได้” เพราะถ้าไม่สร้างรายได้ก็ไม่มีใครทำ และพลังงานสะอาด ไม่ใช่แค่ดีต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังดีต่อธุรกิจด้วยเช่นกัน” จรีพร กล่าว

 เส้นทางในการดำเนินงานด้านความยั่งยืน Green ต้องกินได้ จรีพร กล่าวว่า ในการทำเรื่องสิ่งแวดล้อมในทุกกลุ่มธุรกิจของ WHA Group สามารถสร้างรายได้ในไตรมาสแรกของปี 2025 ประมาณ 1,000 ล้านบาท และคาดว่าจะไปถึง  1,500 ล้านบาท ในสิ้นปี 2025  เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีการขับเคลื่อนในกลุ่มธุรกิจหลัก  โดยปัจจุบันมีนิคมอุตสาหกรรมทั้งหมด 15 แห่งในประเทศไทย และอีก 1 แห่งในเวียดนาม พื้นที่รวมกันมากกว่า 80,000 ไร่ มีการพัฒนาเป็นสมาร์ทนิคม เพิ่มศักยภาพและความยั่งยืน เช่น Smart & Eco Industrial Estate รวมถึงการดึงพลังงานสะอาดมาใช้ในระบบต่างๆ

ในส่วนด้าน Mobility ระบบนิเวศการขนส่งสีเขียว โดยให้บริการเช่ารถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร พร้อมสถานีชาร์จทั้งในพื้นที่ลูกค้าและพื้นที่สาธารณะ และซอฟต์แวร์อัจฉริยะสำหรับบริหารจัดการรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ในไตรมาส 1 ปี 2568 Mobilix ให้เช่ารถ EV ไปแล้วกว่า 330 คัน ช่วยผู้ประกอบการประหยัดค่าใช้จ่ายไปกว่า 600 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าให้บริการรถ EV จำนวน 20,000 คันภายในปี 2572 ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 280,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

 การดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมในกลุ่มธุรกิจหลัก

สำหรับการบริหารจัดการน้ำและพลังงาน จรีพร กล่าวว่า  การบริหารจัดการน้ำอย่างครบวงจรภายใต้โครงการWHA: Clean Water for Planet มุ่งสร้างระบบนิเวศน้ำที่ยั่งยืนครอบคลุมทั้งภาคอุตสาหกรรมและชุมชน อย่าง การบำบัดและนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่เพื่อลดการใช้น้ำจากธรรมชาติและลดปริมาณน้ำทิ้งสู่สิ่งแวดล้อม พร้อมส่งเสริมระบบบำบัดแบบบึงประดิษฐ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และระบบบริหารจัดการน้ำอัจฉริยะ เช่น AI, IoT, SCADA และ Smart Meter เพื่อลดน้ำสูญเสียและการใช้พลังงาน โดยตั้งเป้าบริหารจัดการน้ำรวม 173 ล้าน ลบ.ม. ในปี 2568 และลดการใช้น้ำจากแหล่งธรรมชาติให้ได้ 25 ล้าน ลบ.ม. ต่อปี ภายในปี 2572 ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้น้ำของประชากรกว่า 685,000 คน

และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน และลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล โดยในปี 2024 ผลิตไฟฟ้าได้อยู่ที่ 437 เมกะวัตต์ สร้างรายได้ 493 ล้านบาท ลดคาร์บอนได้กว่า 61,000 ตันคาร์บอน โดยจะเพิ่มกำลังผลิตติดตั้งจากโซลาร์ในปี 2568 อีก 1.6 เมกะวัตต์ ประหยัดค่าไฟได้ 6.2 ล้านบาทต่อปี การขยายธุรกิจพลังงานทดแทนด้วยเป้าหมายสัญญา Private PPA สะสม657 เมกะวัตต์ในปี 2025 และ 1,200เมกะวัตต์ในปี 2029 ซึ่งจะลดก๊าซเรือนกระจก 683,000 ตัน CO₂e สร้างรายได้กว่า 5,600 ล้านบาทต่อปี และประหยัดค่าไฟให้ลูกค้า 1,860 ล้านบาทต่อปี

ปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน 

นอกจากนี้ยังได้นำนโยบาย 3Rs (Reduce, Reuse, Recycle) เป็นแนวทางการจัดการขยะและทรัพยากรอย่างยั่งยืน มุ่งใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เพื่อลดขยะฝังกลบให้เป็นศูนย์ (Zero Waste to Landfill) ผ่านโครงการที่เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การนำคอนกรีตเหลือใช้มาผลิตบล็อกปูพื้นรีไซเคิล 5,500 ก้อน ลดคอนกรีตเหลือทิ้งได้ 191 ตัน การแปรรูปกากตะกอนเป็นปุ๋ย และรีไซเคิลไส้กรองน้ำเป็นตัวกั้นล้อและขอบคอนกรีต

 โรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม CCE ที่ในปี 2567 กำจัดขยะได้ 120,913 ตัน และผลิตไฟฟ้าได้ 54,823 เมกะวัตต์ชั่วโมง รวมถึงโครงการ WeCYCLE ที่ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านการคัดแยกและรีไซเคลในพื้นที่ดำเนินงาน เช่น เปลี่ยนขวด PET เป็นกระเป๋านักเรียน ลดพลาสติกได้ 68 ตัน แปรรูปกระดาษใช้แล้วเป็นสื่อการเรียนรู้ ลดขยะกระดาษได้ 176 ตัน และนำน้ำมันใช้แล้วผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ลดของเสียได้ 2 ตัน ทุกโครงการรวมกันสามารถลดคาร์บอนได้ 378 ตัน CO₂e โดยได้รับความร่วมมือจากบริษัทพันธมิตรกว่า 126 แห่ง

 ดำเนินงาน 3R บริหารจัดการขยะในองค์กร 

“เป้าหมายในการมุ่งสู่ Net Zero ในปี 2050 โดยวางแผนดำเนินการในระยะสั้นปี 2030 โดยลดการปล่อยมลพิษให้ได้ 42% จากฐานปี 2021 ส่งเสริม Green Procurement 50% และการหมุนเวียนนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่70% โดยแผนในระยะยาวปี 2050  ครอบคลุมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้ง 3 Scope ส่วน Green Procurement และนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ให้ได้ 100%” จรีพร กล่าว 

โซลาร์เซลล์ในนิคมอุตสาหกรรมของ WHA Group 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

IRPC ผนึก HSS เปิดตัวนวัตกรรมชุดกีฬา-เสื้อผ้าแบรนด์ง 'Graphenix × KleanTeQ'

IRPC ร่วมกับ HSS เปิดตัวนวัตกรรมชุดกีฬาและเสื้อผ้าไลฟ์สไตล์ แบรนด์ ‘Graphenix × KleanTeQ’ ที่ผลิตจากผ้าเคลือบหมึกกราฟีน เพื่อยกระดับคุณภาพของเนื้อผ้าที่พร้อม ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมสิ่งทอไทย