
ความเก่าแก่ของกรุงเทพมหานคร ที่มีอายุ 243ปี มีการเติบโตกลายเป็นเมืองที่ทันสมัย เต็มไปด้วยสีสันและไม่เคยหลับไหล แต่ในอีกมุมหนึ่ง ยังมีสถานที่ที่เปี่ยมด้วยคุณค่าทางจิตใจ และเต็มไปด้วยความงดงามของศิลปะ สถาปัตยกรรม และประวัติศาสตร์ เป็นหนึ่งในหมุดหมายที่ไม่ควรพลาดคือ พิพิธภัณฑ์ตำหนักสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) ซึ่งตั้งอยู่ภายใน วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร วัดหลวงชั้นเอกใจกลางกรุงเทพฯ
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เคยเป็นตำหนักที่ประทับของ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) เป็นระยะเวลาถึง 44 ปี ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสลำดับที่ 4 ของวัดสุทัศน์ใน พ.ศ.2443 และดำรงพระยศสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 12 แห่งหรุงรัตนโกสินทร์ จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ.2487 ซึ่งทางวัดได้จัดเก็บรักษาโบราณวัตถุไว้เป็นจำนวนมาก และได้สร้างคลังเก็บโบราณวัตถุ บริเวณใต้ถุนตำหนักและยาวไปจนถึงหอไตร

ตำหนักหลังนี้จึงได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างงดงาม และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงโบราณวัตถุและศิลปวัตถุอันทรงคุณค่าของวัดสุทัศน์มากกว่า 10,000 รายการ อาทิ เครื่องถ้วย เครื่องมุก ที่ชา เอกสารโบราณ ตาลปัตร และพระพุทธรูป โดยเฉพาะเรื่องราวตำนานการสร้าง พระกริ่งวัดสุทัศน์ อันเลื่องชื่อ ซึ่งเป็นผลงานเชิงช่างชิ้นเอกของสมเด็จพระสังฆราชแพ ที่ยังคงเป็นที่กล่าวขานมาจนถึงทุกวันนี้
เมื่อก้าวเข้าสู่ พิพิธภัณฑ์ตำหนักสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ ความสบายตาในการจัดแสดงสิ่งของต่างๆ อย่างพิถีพิถันราวให้ความสบายใจ อาคารแห่งนี้พื้นที่ใช้สอยกว่า 1,800 ตารางเมตรนี้ ถูกแบ่งออกเป็น 5 โซนจัดแสดงหลัก เริ่มที่ ตำหนักที่ประทับ ได้จัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ และงานพุทธศิลป์ฝีพระหัตถ์ รวมถึงศิลปวัตถุที่ได้รับถวายจากพระบรมวงศานุวงศ์ในโอกาสสำคัญต่างๆ

ถัดมาเป็น หอพระกรรมฐาน ประดิษฐานพระพุทธรูปและปูชนียวัตถุสำคัญของวัด ส่วนบริเวณ หอไตร จัดแสดงตาลปัตร ย่าม และผ้ากราบ กุฏิเรือนแถวทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ได้รับการบูรณะเพื่อจัดแสดงเอกสารโบราณ เครื่องโต๊ะ เครื่องกระเบื้อง ที่ชา และเครื่องมุก บริเวณโถงกลางมีพระรูปของสมเด็จพระสังฆราชแพ ประดิษฐานอยู่ตรงกลาง และรายล้อมด้วยจอทัชสกรีนที่เปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้เรื่องราวพระเกียรติคุณ และพระกริ่งที่พระองค์ทรงสร้างไว้หลายรุ่น ตั้งแต่ “พระกริ่งเทพโมฬี” ใน พ.ศ. 2441 ไปจนถึง “พระกริ่งเชียงตุง” ใน พ.ศ. 2486 พร้อมเทคโนโลยี AR ที่ช่วยให้การชมพิพิธภัณฑ์น่าสนใจยิ่งขึ้น

ถัดมาเป็นการจัดแสดง เครื่องอัฐบริขารและสิ่งของใช้ส่วนพระองค์ ของสมเด็จพระสังฆราชแพ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตและภารกิจของพระองค์ผ่านสิ่งของที่เคยใช้จริง ทั้ง เตียง ชุดทรงอักษร ผ้าไตรไหม และย่าม ที่ได้รับพระราชทานในโอกาสสำคัญ เมื่อครั้งได้รับการเฉลิมพระนามเป็น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช ในปี พ.ศ. 2482 ภายในบริเวณเดียวกัน ยังมีการจัดแสดง ศิลปวัตถุหายาก ที่ทางวัดได้รับพระราชทานจากพระบรมวงศานุวงศ์ในวาระพิเศษต่างๆ อาทิ บาตรที่ระลึกจากงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของรัชกาลที่ 5 ใน พ.ศ. 2416 และ เครื่องเขียนประดับมุก ซึ่งเป็นของที่ระลึกจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของรัชกาลที่ 6 ใน พ.ศ. 2454

ใกล้กับพระตำหนักจะเป็นห้องขนาดเล็ก ซึ่งเดิมเป็น หอพระกรรมฐาน ของสมเด็จพระสังฆราชแพ ห้องนี้แม้จะไม่ใหญ่โตนัก แต่ถูกออกแบบอย่างเหมาะสมสำหรับการปฏิบัติธรรม ความยาวของห้องพอดีสำหรับเดินจงกรมได้ประมาณ 10 ก้าว เป็นพื้นที่ที่พระองค์ใช้สำหรับ นั่งสมาธิและเดินจงกรม เป็นประจำ สะท้อนถึงวิถีชีวิตเรียบง่ายที่เต็มไปด้วยวัตรปฏิบัติ

ปัจจุบันภายในห้องแห่งนี้ประดิษฐาน หลวงพ่อดำ พระพุทธรูปสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย ศิลปะเชียงแสนในซุ้มเรือนแก้ว ซึ่งเป็น พระพุทธรูปประจำพระองค์ โดยหลวงพ่อดำองค์นี้ยังถูกใช้ในพิธีสำคัญ อาทิ การสวดนพเคราะห์ในวันครบรอบวันประสูติ รวมถึงพิธีพุทธาภิเษกในการหล่อพระกริ่งในทุกปี องค์พระสำคัญที่ประดิษฐานอยู่ในห้องเดียวกัน นั่นคือ พระนิรโรคันตราย เป็นพระพุทธรูปกะไหล่ทองปางสมาธิ ซึ่งรัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2468
ภายหลังจากที่พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวร โดยโปรดให้สร้างจำนวนทั้งสิ้น 16 องค์ และพระนิรโรคันตรายที่ประดิษฐาน ณ วัดสุทัศน์แห่งนี้ ถือเป็นองค์ลำดับที่ 7 วัดสุทัศน์ฯ จึงยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ว่าในการเสด็จพระราชดำเนินมาถวายผ้าพระกฐินของพระมหากษัตริย์ทุกครั้ง จะต้องอัญเชิญพระนิรโรคันตรายองค์นี้ขึ้นเป็น พระประธานของโต๊ะหมู่บูชา เพื่อความเป็นสิริมงคล

ภายในหอพระกรรมฐาน ยังมีอีกหนึ่งโบราณวัตถุที่น่าสนใจซึ่งเปี่ยมด้วยความศรัทธาและเรื่องราวทางจิตวิญญาณ นั่นคือ “พระสุนทรีวาณี” ภาพต้นแบบของพระสุนทรีวาณีจัดแสดงอยู่ในห้องนี้เช่นกัน โดยเป็นภาพเทพธิดาประทับขัดสมาธิบนดอกบัว พระหัตถ์ซ้ายทรงแก้ววิเชียร พระหัตถ์ขวาแสดงอาการกวัก สะท้อนถึงการดลบันดาลปัญญาและความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งเขียนขึ้นตาม นิมิตของสมเด็จพระวันรัตแดง อดีตเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์รูปที่ 3

ภาพนี้เปรียบได้กับ พระรัตนตรัยในรูปของเทพธิดา และยังมีความสำคัญในเชิงธรรมเนียมปฏิบัติของวัด เพราะในทุกปี วัดสุทัศน์จะอัญเชิญภาพพระสุนทรีวาณีออกประดิษฐานในการรับเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินหลวง เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์แห่งความศรัทธาที่ผูกโยงระหว่างพระพุทธศาสนาและราชสำนัก
อีกหนึ่งโบราณวัตถุที่สะท้อนให้เห็นความงดงามที่ทรงคุณค่าคือ “ตาลปัตร” ที่ได้รับพระราชทานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 รวมถึงย่าม และผ้ากราบ ซึ่งเป็นของเก่าแก่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ สะท้อนให้เห็นถึงความผูกพันระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับพระสงฆ์ไทยมาอย่างยาวนาน

เมื่อเดินเลี้ยวเข้าสู่กุฏิเรือนฝั่งตะวันตก จะได้สัมผัสอีกบรรยากาศหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้จุดอื่น เพราะที่นี่คือพื้นที่จัดแสดง เครื่องพุทธบูชา อันประณีตวิจิตร ทั้งเครื่องโต๊ะ เครื่องกระเบื้อง เครื่องมุก และที่ชา ซึ่งสะท้อนรสนิยมและพิธีกรรมที่ผูกพันกับวัดสุทัศน์มายาวนาน ในห้องเครื่องโต๊ะ จะได้เห็นแนวคิดการจัดเครื่องโต๊ะอย่างสยาม โดยเครื่องลายครามที่นำมาจัดแสดงแต่ละชิ้นล้วนมีรายละเอียดงดงาม โดยเฉพาะลายสิงโตเปลว ที่จัดวางตามธรรมเนียมโบราณ ภายใต้หลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ใน พระราชบัญญัติตรวจตัดสินชิ้นเครื่องโต๊ะ ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5
หนึ่งในไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาดคือการได้ชมจานลายครามลายเครือเถาดอกไม้ ซึ่งถือเป็นเครื่องถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดของวัดสุทัศน์ ผลิตขึ้นในสมัยจักรพรรดิหย่งเจิ้นแห่งราชวงศ์ชิง เมื่อเดินต่อมายัง ห้องชา จะได้พบกับอีกมุมหนึ่งที่เต็มไปด้วยความละเมียดละไม การจัดแสดง ชุดน้ำชารูปแบบต่างๆ มากกว่า 300 ชุด ที่ถ่ายทอดวัฒนธรรมการดื่มชาในแง่มุมต่างๆ ทั้งแบบไทยและแบบจีน ช่วยเติมเสน่ห์ให้การเดินชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้

อีกฝั่งเป็นกุฏิเรือนแถวฝั่งตะวันออก ห้องจัดแสดงเอกสารโบราณ ซึ่งรวบรวมคัมภีร์และสิ่งพิมพ์เก่าแก่ที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางศาสนาและประวัติศาสตร์ ภายในห้องนี้มีคัมภีร์ใบลาน จารด้วยอักษรขอมโบราณ ซึ่งมีอายุย้อนไปถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของพุทธศาสนาและภูมิปัญญาดั้งเดิมของไทย

ที่น่าตื่นตาไม่แพ้กันคือการได้ชม ผ้าห่อคัมภีร์ ซึ่งทางวัดสุทัศน์เก็บรักษาไว้อย่างดี ส่วนใหญ่เป็น ผ้านำเข้าจากอินเดีย ที่เคยใช้เป็นเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ หรือเป็นผ้ายศพระราชทานแก่ขุนนางในราชสำนักช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อเจ้าของถึงแก่อนิจกรรม ทายาทจึงได้นำมาถวายวัดเพื่อเป็นกุศล การเดินชมในในห้องต่างๆ ทำให้เราไม่เพียงเห็นสิ่งของเก่าแก่เท่านั้น แต่ยังรู้สึกได้ถึงความศรัทธา ความเชื่อ ศิลปวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ที่ถูกเก็บรักษาและนำมาเผยแพร่ให้คนรุ่นต่อไปให้ได้ชม


พิพิธภัณฑ์ตำหนักสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) ณ วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ เปิดให้เข้าชมทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 09.30 – 16.30 น. ค่าเข้าชม คนไทย 50 บาท และชาวต่างชาติ 200 บาท




ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นายกฯ คนที่ 34 | ห้องข่าวไทยโพสต์สุดสัปดาห์
ห้องข่าวไทยโพสต์สุดสัปดาห์ : วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม 2568
🛑LIVE ย้อน 2568 ปีปิดเกม #หยุดกร้าวเด็กก้าวไกล #ดับอหังการ์‘ทักษิณ’ #เด็ดปีกเจ้าเล่ห์ฮุนเซน | อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร
ย้อน 2568 ปีปิดเกม #หยุดกร้าวเด็กก้าวไกล #ดับอหังการ์‘ทักษิณ’ #เด็ดปีกเจ้าเล่ห์ฮุนเซน อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร : วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2568
สถานะเมืองรัตนโกสินทร์หลังศึกเขมรรอบสอง
ผู้เขียนขอพักบทความลีลาชีวิตท่านที่ลัคนาสถิตราศีมีนปี 2569 ซึ่งเป็นลัคนาสุดท้ายที่จะเขียนไว้พลางก่อน เพราะเมืองคับขันเกิดการสู้รบ
🛑LIVE บ้านใหม่ Vs บ้านใหญ่ ใครพลิกเกม!? | ห้องข่าวไทยโพสต์
ห้องข่าวไทยโพสต์ : วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ผลวิจัยชี้ 'ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่' มีผลเล็กน้อย หรือไม่มีเลย
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ประธานศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้คความผ่านเฟซบุ๊กว่า ยาต้านไข้หวัดใหญ่เกือบทั้งหมดมีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย

