
ท่ามกลางวิกฤติการสูญเสียพื้นที่ป่าทั่วโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น ข้อมูลจาก FAO และ UNEP (2020) ระบุว่า พื้นที่ป่าดั้งเดิมของโลกเหลือเพียงร้อยละ 31 ของพื้นที่ทั้งหมด และในช่วงปี 2015–2020 โลกได้สูญเสียป่าไม้มากกว่า 10 ล้านเฮกตาร์ต่อปี หรือคิดรวมแล้วกว่า 80 ล้านเฮกตาร์นับตั้งแต่ปี 1990 เพื่อแก้ไขปัญหานี้ สหภาพยุโรปจึงออกกฎหมาย EUDR (EU Deforestation-Free Regulation) เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2566 กำหนดให้สินค้าที่นำเข้า วางขาย หรือส่งออกไปยังสหภาพยุโรป ต้องพิสูจน์ได้ว่า “ไม่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า”
EUDR เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า โดยกำหนดให้สินค้าที่วางขาย นำเข้า หรือส่งออกไปยังสหภาพยุโรป ต้องไม่สร้างความเสื่อมโทรมแก่ป่าไม้ของโลก และต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาได้อย่างชัดเจน ว่าอยู่ในพิกัดใด และเกี่ยวข้องกับพื้นที่ป่าหรือไม่ ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวครอบคลุมสินค้าเกษตรสำคัญ 7 กลุ่ม ได้แก่ ยางพารา กาแฟ วัว โกโก้ ถั่วเหลือง ไม้ และปาล์มน้ำมัน
เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ จะครอบคลุมประเทศสมาชิก EU ทุกประเทศโดยอัตโนมัติ ผู้ประกอบการที่ต้องการส่งออกสินค้าสู่ตลาดยุโรปจึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด ทั้งในด้านกฎหมาย กระบวนการตรวจสอบย้อนกลับ และการประเมินความเสี่ยง หากไม่สามารถดำเนินการได้ตาม EUDR ก็จะสูญเสียโอกาสทางการค้า และไม่สามารถส่งออกสินค้าไปยังสหภาพยุโรปได้
สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศ ความเสี่ยงต่ำ (Low Risk) ในการผลิตสินค้าเกษตรที่อาจเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า นับเป็นโอกาสสำคัญในการต่อยอดการส่งออกสินค้าเกษตรและขยายผลสู่การสร้างรายได้เพิ่มขึ้นแก่เกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน ทั้งนี้หลังจากวันที่ 16 ตุลาคม 2567 คณะมนตรียุโรป (European Council) ได้มีมติเลื่อนการบังคับใช้กฎหมาย EUDR ออกไป 12 เดือน จากเดิมที่กำหนดให้มีผลในวันที่ 30 ธันวาคม 2567 โดยจะเลื่อนไปเป็นวันที่ 30 ธันวาคม 2568 สำหรับบริษัทขนาดใหญ่และวันที่ 30 มิถุนายน 2569 สำหรับบริษัท SMEs
เพื่อประกาศความพร้อมของไทย สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ ARDA ร่วมกับ 9 หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้จัดงาน Kick-off ยกระดับสินค้าและผลิตภัณฑ์เกษตรไทยรองรับระเบียบ EUDR พร้อมเปิดตัว 9 โครงการวิจัยนำร่องที่ ARDA สนับสนุนทุนวิจัย เพื่อใช้เป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้ภาคเกษตรไทยสามารถปฏิบัติตามมาตรฐานใหม่ของ EU อย่างเป็นรูปธรรม และ ยกระดับสินค้าและผลิตภัณฑ์เกษตรไทยรองรับระเบียบ EUDR เพื่อเดินหน้าความร่วมมืออย่างเป็นทางการในการเตรียมความพร้อมกระบวนการผลิตสินค้าเกษตรของไทย

ประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะถูกสหภาพยุโรปจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศความเสี่ยงต่ำ แต่การปรับตัวให้สอดคล้องกับกฎระเบียบ EUDR ยังถือเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสสำคัญที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ความสำคัญ เนื่องจากข้อมูลจากฐานข้อมูลการค้าของสหประประยูร อินสกุลชาชาติ (UN Comtrade Database) ระบุว่า ในปี 2567 ไทยส่งออกสินค้าเกษตร 7 กลุ่ม ได้แก่ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน กาแฟ ถั่วเหลือง โกโก้ วัวและไม้ ไปยังสหภาพยุโรป มูลค่ารวมกว่า 1.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 64,900 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการ SMEs และเกษตรกรรายย่อย โดยเฉพาะยางพาราที่มีสัดส่วนการส่งออกมากกว่า 90%
ประยูร กล่าวต่อว่า การเตรียมความพร้อมเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของ EUDR จึงไม่เพียงช่วยรักษาตลาดการส่งออกที่สำคัญ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อรายได้และศักยภาพการแข่งขันของไทยในตลาดยุโรป แต่ยังเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมของประเทศอีกด้วย ทั้งนี้ประเทศไทยที่ได้รวมนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญในหลายสาขามาร่วมดำเนินโครงการวิจัยภายใต้แผนงานมุ่งเป้า EUDR ใน 6 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1. การพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability System) ตลอดห่วงโซ่อุปทาน 2. การสร้างแพลตฟอร์ม Geolocation สำหรับตรวจสอบพื้นที่เพาะปลูกว่าปลอดจากการบุกรุกป่า 3. การพัฒนาระบบจัดเก็บข้อมูลเพื่อรองรับการยื่น Due Diligence Statement (DDS) ผ่านระบบของ EU 4. การศึกษากรอบกฎหมายและจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย 5. การวิเคราะห์ตลาดสินค้า EUDR และท่าทีของประเทศคู่ค้าในอาเซียนและสหภาพยุโรป 6. การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ EUDR ให้แก่เกษตรกร

ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง
ด้านดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (ARDA) กล่าวว่า การขับเคลื่อนกฎระเบียบ EUDR ผ่านการเชื่อมโยงผลวิจัยไปสู่การปฏิบัติจริง เช่น การใช้ระบบ GIS และ Remote Sensing สำหรับตรวจสอบพิกัดแปลงเพาะปลูก การพัฒนาระบบ Traceability แบบ End-to-End ที่ติดตามสินค้าได้ตั้งแต่ฟาร์มถึงปลายทาง การรองรับการยื่น Due Diligence Statement (DDS) แบบเรียลไทม์ รวมถึงการพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับเกษตรกรรายย่อย เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าไทยสามารถส่งออกไปยังสหภาพยุโรปภายใต้กฎระเบียบ EUDR ได้ตามกรอบเวลาที่กำหนด
“EUDR ไม่ใช่กำแพงการค้า แต่คือโอกาสครั้งใหญ่ในการยกระดับเกษตรไทยสู่มาตรฐานสากล การพัฒนางานวิจัยครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการปรับตัวตามกฎใหม่ แต่คือการพลิกโฉมสินค้าเกษตรไทยให้พร้อมแข่งขันบนเวทีโลกอย่างยั่งยืน ARDA พร้อมขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทยด้วยวิทยาศาสตร์ งานวิจัย และนวัตกรรม ที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วน เพื่อให้ไทยก้าวผ่านกฎระเบียบ EUDR ได้อย่างมั่นใจ” ดร.วิชาญ กล่าว
ดร.วิชาญ กล่าวอีกว่า กฎระเบียบ EUDR เดิมมีกำหนดบังคับใช้ตั้งแต่ปลายปี 2566 แต่ภายหลังมีการเลื่อนออกไป โดยคาดว่าจะเริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม 2568 สำหรับผู้นำเข้ารายใหญ่ และกลางปี 2569 สำหรับเกษตรกรรายย่อย ซึ่งจากการหารือกับสหภาพยุโรป มีแนวโน้มสูงว่าจะไม่ถูกเลื่อนอีก เพื่อเตรียมความพร้อม ไทยได้พัฒนาระบบยืนยันแหล่งผลิต พื้นที่เพาะปลูก การขนส่ง และเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดยเชื่อมโยงข้อมูลตั้งแต่ระดับเกษตรกรไปจนถึงอุตสาหกรรมการส่งออก เช่น ยางพาราและโกโก้ ซึ่งแม้ไทยจะไม่ได้ส่งออกโกโก้โดยตรงในปริมาณมาก แต่มีการใช้เป็นส่วนผสมในอาหารและผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกไปยุโรปกว่า 600 รายการ จึงเป็นตลาดที่น่าจับตามอง

ดร.วิชาญ กล่าวถึงระบบตรวจสอบย้อนกลับที่เข้มแข็งตั้งแต่ต้นทางจะช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้นำเข้ายุโรป และหากไทยดำเนินการได้อย่างมีระบบ นอกจากลดผลกระทบจากกฎหมายใหม่แล้ว ยังจะช่วยสร้างโอกาสทางการแข่งขัน ด้วยการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรไทยให้ได้รับความเชื่อมั่นในตลาดโลก

สำหรับประเทศไทย ARDA ได้สนับสนุนทุนวิจัยแก่สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เพื่อจัดทำ กรอบนโยบายระดับชาติ (National Policy Framework) เสนอต่อคณะกรรมการ EUDR ระดับชาติ เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติที่สอดคล้องกับข้อกำหนดของ EU ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการรับมือกับความท้าทายของภาคเกษตรไทย ได้แก่ 1. ออกแบบระบบเตรียมความพร้อมสินค้าเกษตรตลอดห่วงโซ่อุปทาน มหาวิทยาลัยรังสิต 2. พัฒนาระบบนำเข้า–ส่งออกตามมาตรฐาน EUDR สมาคมอุตสาหกรรมดิจิทัลไทย 3. จัดทำแพลตฟอร์ม Geolocation ตรวจสอบพื้นที่ปลูกปลอดการตัดไม้ทำลายป่า บริษัท จีไอเอส จำกัด
4. วิเคราะห์ตลาดสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปยัง EU บริษัท แอคเซส ยุโรป จำกัด 5. ศึกษาอุปสรรคทางกฎหมายในการส่งออกสินค้าและผลิตภัณฑ์ภายใต้ EUDR มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 6. เสริมศักยภาพผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานปาล์มน้ำมัน กรมวิชาการเกษตร 7. ศึกษาระบบยืนยันความถูกต้องทางกฎหมายของไม้ไทยสำหรับส่งออก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 8. ทวนสอบข้อมูลเกษตรกรและพิกัดแปลงในเขตปฏิรูปที่ดิน สำนักงานปฏิรูปที่ดิน 9. ปรับปรุงข้อมูลผังแปลงเกษตรกรรมดิจิทัลให้สอดคล้องกับ EUDR กรมส่งเสริมการเกษตร

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นักวิชาการแนะนายกฯ ตั้งคณะทำงานรับมือ MOUแร่แรร์เอิร์ธ
'นักวิชาการสิ่งแวดล้อม' แนะนายกฯ ตั้งคณะทำงานศึกษา-รับมือ เอ็มโอยูสหรัฐรุกไทยแร่หายาก ค้านตั้งเหมือง เต็มที่แค่ตั้งโรงงานสกัด เหตุเสี่ยงเจอมลพิษ สารปนเปื้อน กัมมันตภาพรังสี
ชำแหละ 4 ข้อ ไทยเสียเปรียบสหรัฐ MOU แร่หายาก
รุมจวก "MOU แรร์เอิร์ธ" ชี้ไทยเสียเปรียบเต็มประตูกลายเป็นเบี้ยล่างสหรัฐ สส.ปชน. เผย 4 ข้อถูกบีบ ขณะที่นักวิชาการเชื่อซ้ำเติมสถานการณ์สารพิษเหมืองแร่ลงแม่น้ำข้ามแดน
'TIPMSE'หนุนเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วเป็นวัตถุดิบสร้างมูลค่า-ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม
‘TIPMSE’ รวมพลังรวมพลังขับเคลื่อน การจัดการบรรจุภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน ด้วยหลัก EPRเ ปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้เป็นวัตถุดิบ ชู4กลยุทธ์ร่วมผลักดัน พัฒนากลไก EPR ระบบเก็บกลับ สร้างการมีส่วนร่วม และออกแบบเพื่อการรีไซเคิลตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนสร้างมูลค่าเพิ่ม
อย่าพลาด!! สัมผัสงานวิจัยสุดล้ำ นวัตกรรมที่เปลี่ยนโลกเกษตรได้จริง ในARDA AGRINEXT THAILAND 2025 วันสุดท้าย
วันสุดท้ายแล้วที่คนไทยจะได้สัมผัสงานแสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรมด้านการเกษตรแห่งปี “ARDA AGRINEXT THAILAND 2025”
นักวิจัยชี้ต้องใช้เวลาอีก 50-100 ปี ถึงจะฟื้นฟูธรรมชาติปนเปื้อนสารพิษเหมืองแรร์เอิร์ทได้
นักวิจัยคะฉิ่นชี้ต้องใช้เวลาอีก 50-100 ปี ถึงจะฟื้นฟูธรรมชาติปนเปื้อนสารพิษเหมืองแรร์เอิร์ทได้ แฉจีนเอาแต่ตักตวงผลประโยชน์-ไม่สนใจผลกระทบของเพื่อนบ้าน


