
ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา สถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม (TIPMSE) ได้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยง “บรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว” จากมือผู้บริโภคกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตใหม่ ภายใต้แนวคิดที่ว่า “บรรจุภัณฑ์ไม่ใช่ขยะ แต่คือวัตถุดิบ” โดย TIPMSE ได้พัฒนาและผลักดันแนวทางจัดการขยะบรรจุภัณฑ์อย่างเป็นระบบ ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ การส่งเสริมความรู้ การสร้างระบบเชื่อมโยง และการสนับสนุนเครื่องมือและกลไกต่าง ๆ ให้ทุกภาคส่วนสามารถมีส่วนร่วมได้จริง ตั้งแต่ครัวเรือนจนถึงระดับนโยบาย ตัวอย่างเช่น การจัดหลักสูตรเรียนรู้เรื่องบรรจุภัณฑ์ให้ครูและเยาวชนเข้าใจหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมขยายผลสู่โรงเรียนต้นแบบทั่วประเทศ และการพัฒนารูปแบบร้าน 0 บาท ที่ใช้ขยะแทนเงินสด เพื่อกระตุ้นการแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง
อีกหนึ่งกลไกสำคัญคือโมเดลความร่วมมือภายใต้หลัก EPR (Extended Producer Responsibility) ตาม พ.ร.บ. การจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน ซึ่งเปิดโอกาสให้ภาครัฐ เอกชน และประชาสังคมมีส่วนร่วมในการจัดการตลอดวงจรของบรรจุภัณฑ์ มุ่งสู่เป้าหมายในการสร้างระบบจัดการทรัพยากรที่ยั่งยืนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนของไทยอย่างเป็นรูปธรรม แม้ว่าขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการยกร่างกฎหมาย EPR หรือร่าง พ.ร.บ. การจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน คาดว่าจะมีประกาศบังคับใช้ในปี 2570 โดยกฎหมายจะกำหนดให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าต้องรับผิดชอบต่อบรรจุภัณฑ์ที่ถูกประกาศรายชื่อหลังกฎหมายบังคับใช้ ครอบคลุมทั้งการเก็บรวบรวม การคัดแยก และการรีไซเคิล
ทั้งนี้ TIPMSE มุ่งผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เป็นวัตถุดิบอย่างเป็นรูปธรรม โดยอาศัยความร่วมมือจากเครือข่าย EPR Network ที่ปัจจุบันขยายตัวจากเดิมกว่า 149 หน่วยงาน อย่างไรก็ตามในมุมของอุตสาหกรรมรีไซเคิลและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน ยังคงมีทั้งความท้าทาย ภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมรีไซเคิลจึงได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในการจัดการและเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว เพื่อนำไปสู่โอกาสในการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนของไทยอย่างยั่งยืน ในงาน Sustainable Expo หรือ SX2025 ที่ผ่านมา

“การเก็บ-กลับ”ในอุตสาหกรรมกระดาษ สุนทร ยงศ์วิบูลศิริ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ภาพรวมของวงจรบรรจุภัณฑ์กระดาษ สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มกล่องบรรจุภัณฑ์หลัก ซึ่งเป็นกล่องที่ใช้บรรจุสินค้าและขนส่งจากผลิตไปยังผู้จัดจำหน่ายหรือร้านค้าปลีก ถือเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนมากที่สุด แม้ว่ากล่องประเภทนี้มักไม่ถึงมือผู้บริโภคโดยตรง เนื่องจากเมื่อถึงร้านค้าปลีก กล่องใหญ่จะถูกเปิดออกและจำหน่ายเป็นสินค้าย่อยแทน 2.กลุ่มบรรจุภัณฑ์รอง หมายถึงกล่องย่อยที่ใช้บรรจุสินค้าหนึ่งต่อหนึ่ง เช่น กล่องยาสีฟันหรือกล่องเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มนี้ผู้บริโภคนำกลับเข้าสู่ครัวเรือนโดยตรง แม้ว่าสัดส่วนจะไม่มากนัก แต่มีความสำคัญต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน
และ3.กลุ่มบรรจุภัณฑ์อีคอมเมิร์ซ ซึ่งเกิดจากการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ใช้กล่องกระดาษขนส่งตรงถึงผู้บริโภค เป็นกลุ่มที่เติบโตอย่างต่อเนื่องตามพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหาร (Food Packaging) ซึ่งบางส่วนสามารถผลิตจากเยื่อรีไซเคิลได้ แต่ยังมีข้อจำกัดด้านสุขอนามัย ทำให้เป็นหนึ่งในความท้าทายของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์กระดาษในปัจจุบัน

สำหรับศักยภาพในการนำกระดาษกลับมาใช้ใหม่ สุนทร กล่าวว่า กลุ่มกล่องบรรจุภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่ใช้ในการขนส่ง มีระบบการจัดเก็บและนำกลับมาใช้ที่เข้มแข็งอยู่แล้ว จึงไม่เป็นปัญหาหนัก ส่วนบรรจุภัณฑ์ที่ถึงมือผู้บริโภคโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นกล่องทั่วไปหรือกล่องจากอีคอมเมิร์ซ เป็นกลุ่มที่ท้าทายมากกว่า เนื่องจากขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการคัดแยกของผู้บริโภค หากไม่แยกกระดาษออกจากขยะอื่น กระดาษเหล่านี้มักปะปนกับขยะชุมชน และลงเอยด้วยการฝังกลบหรือเผา ซึ่งกลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารถือเป็นกลุ่มที่ยากที่สุด เนื่องจากมีโอกาสปนเปื้อนเศษอาหาร แม้ทฤษฎีจะสามารถแยกและทำความสะอาดเพื่อนำกลับมารีไซเคิลได้ แต่ในทางปฏิบัติยังเป็นอุปสรรคสำคัญ อย่างไรก็ดี มาตรฐานการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยการใช้กระดาษรีไซเคิลเป็นวัตถุดิบหลักประมาณ 95% โดยเติมเยื่อใหม่เพียงเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความแข็งแรง
สุนทร กล่าวว่า ภาพรวมระดับประเทศ บรรจุภัณฑ์กระดาษที่ผลิตและส่งมอบให้คู่ค้า มีทั้งจำหน่ายภายในประเทศและส่งออก โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนที่สัดส่วนการส่งออกมีจำนวนมาก ส่งผลให้บรรจุภัณฑ์กระดาษบางส่วนติดไปกับสินค้าออกนอกประเทศ สำหรับในประเทศจากข้อมูลสถิติและงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่าอัตราการเก็บกลับของกระดาษแข็งและกระดาษลังอยู่ที่ประมาณ 70% เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ซึ่งสามารถเก็บกลับได้มากกว่า 85% จะเห็นว่ายังมีศักยภาพในการพัฒนาต่อส่วนกระดาษที่ยังหลุดรอดไปสู่ระบบจัดการขยะของเทศบาล เป็นส่วนที่ยังต้องปรับปรุง ขณะที่อุตสาหกรรมการผลิตยังคงพึ่งพาการนำเข้ากระดาษรีไซเคิลจากต่างประเทศ เพื่อรักษาสัดส่วนการใช้วัตถุดิบรีไซเคิลในกระบวนการผลิตให้มากกว่า 90%

ณัฐนันท์ ศิริรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมขวดพลาสติก( PET) ในประเทศไทยว่า ปัจจุบันบริษัทเริ่มทำธุรกิจรีไซเคิลขวด PET มาประมาณ 3-4 ปี และมีผู้ประกอบการรวมราว 4-5 ราย และมีโรงงานที่ได้รับมาตรฐาน อย. ประมาณ 4 แห่ง โดยตลาดการใช้ขวด PET ในประเทศอยู่ที่ประมาณ 400,000 ตันต่อปี สามารถเก็บกลับมารีไซเคิลได้ราว 200,000–300,000 ตัน หรือคิดเป็น 50–80% ซึ่งถือว่าสูงพอสมควร อย่างไรก็ตาม ปริมาณที่ไม่สามารถเก็บกลับมานั้นยังถูกกำจัดในรูปแบบอื่น ขณะที่ปริมาณขวด PET ที่เข้าสู่ระบบรีไซเคิลอย่างเป็นทางการ (food-grade) อยู่ที่ประมาณ 100,000 ตันต่อปี หรือราว 28% ของปริมาณรวม
ณัฐนันท์ กล่าวต่อว่า สำหรับพลาสติกประเภท HDPE หากพิจารณาเฉพาะขวดขนาดเล็กและแกลอนไม่เกิน 5–10 ลิตร พบว่าสามารถเก็บกลับมาได้เพียงครึ่งหนึ่งของที่ผลิต ซึ่งยังเป็นความท้าทายด้านวัตถุดิบ ขณะเดียวกัน ราคาตลาด PET ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางการค้าของสหรัฐอเมริกา ที่ปรับภาษีนำเข้าขึ้นเป็น 25.5% ส่งผลให้ราคาภายในประเทศลดลงจากกว่า 20 บาทต่อกิโลกรัมเมื่อต้นปี เหลือราว 10 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้แรงจูงใจในการเก็บและขายขวด PET ลดลง ตลอดเส้นทางการรับซื้อวัสดุ ราคา HDPE ยังคงทรงตัวตลอด 3 ปีที่ผ่านมา แม้การใช้งานในประเทศไม่มาก แต่ HDPE ยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และส่วนใหญ่ผลิตเพื่อส่งออกไปยุโรปและตะวันออกกลาง ซึ่งมีกฎหมายรองรับอย่างเข้มงวด
“ปัจจุบันซัพพลายเชนในประเทศแข็งแรงขึ้น โรงงานใหม่ ๆ นำเทคโนโลยีและมาตรฐานเวิลด์คลาสมาใช้ เน้นทั้งคุณภาพและความปลอดภัยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค แม้ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนของพลาสติกเริ่มช้ากว่าหลายประเทศ แต่ด้วยเทคโนโลยีและซัพพลายเชนที่แข็งแรง ประเทศไทยมีศักยภาพเติบโตต่อไป สิ่งสำคัญคือการพัฒนากระบวนการขึ้นรูปและปรับอุปกรณ์ให้ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะการทดสอบคุณภาพ rPET ซึ่งปีนี้ตลาดในประเทศเริ่มขยายตัว และคาดว่าปีต่อไปจะเติบโตต่อเนื่องตามเทรนด์โลก หากผู้บริโภคสนับสนุน จะเป็นแรงผลักดันให้แบรนด์สามารถสร้างยอดขายและเติบโตอย่างมั่นคง ทั้งนี้กฎหมาย EPR ที่กำลังจะบังคับใช้ จะช่วยเสริมระบบจัดเก็บและนำกลับมาใช้ซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น” ณัฐนันท์ กล่าว

ดร.รณรพี ลีละวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักกลยุทธ์องค์กรและความยั่งยืน บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมการเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วว่า ประเทศไทยไม่ได้ด้อยกว่าประเทศอื่นในด้านการรีไซเคิล โดยเฉพาะการรีไซเคิลแก้ว เพราะในไทยขวดแก้วถูกเก็บกลับมากว่า 90% ในจำนวนนี้ 65% จะถูกคัดล้างและบดเพื่อนำไปหลอม ผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ใหม่ ในขณะที่ขวดคุณภาพดีประมาณ 25% จะถูกล้างและนำกลับไปเป็นบรรจุภัณฑ์ใหม่อีกครั้ง ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศ แม้จะยังต่ำกว่าทวีปยุโรปบ้าง เนื่องจากยุโรปมีระบบและกลไกการคัดแยกที่พัฒนาแล้ว
ดร.รณรพี กล่าวต่อว่า โดยบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการใช้เศษแก้วที่จัดเก็บกลับมาในการผลิตขวดแก้วใหม่ในสัดส่วนประมาณ 65% ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยมลพิษ และรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด ที่สำคัญขวดแก้วเป็นหนึ่งในวัสดุไม่กี่ประเภทที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ต่อเนื่อง โดยไม่สูญเสียคุณภาพ ทั้งด้านความแข็งแรง ความทนทาน และการป้องกันการซึมผ่านของออกซิเจน ไม่ว่าจะเป็นขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ หรือสีใดก็ตาม เช่น สีใส สีเขียว หรือสีน้ำตาล ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะมีคุณภาพเทียบเท่าของเดิม นี่คือจุดแข็งสำคัญของแก้ว จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการนำขวดแก้วกลับมาใช้ซ้ำให้ได้มากที่สุด

Joshua Richard Hirst ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและกรรมการ บริษัทในเครือ แองโกล เอเชีย กรุ๊ป กล่าวว่า ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบด้านการรีไซเคิลอลูมิเนียมอย่างมาก เนื่องจากกระบวนการนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มผลิตชิ้นแรก ทำให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ โดยลูกค้าของบริษัทซึ่งผลิตอลูมิเนียมโรลชีท โรงงานขนาดใหญ่ระดับโลก ได้นำเทคโนโลยีรีไซเคิลจากญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกามาใช้ตั้งแต่เริ่มต้น ส่งผลให้เทคโนโลJoshua Richard Hirstยีรีไซเคิลระดับโลกถูกถ่ายทอดเข้ามาในไทย ทำให้บริษัทสามารถขยายระบบรีไซเคิลกระป๋องและอลูมิเนียมอย่างต่อเนื่องกว่า 10 ปี ช่วยเพิ่มปริมาณรีไซเคิลทุกปี
“ในกระบวนการเก็บ-กลับ อลูมิเนียม เพราะมีมูลค่าสูง จึงทำให้กระบวนการเก็บกลับเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ตั้งแต่ระดับชุมชนจนถึงระบบซัพพลายเชนครบวงจร เมื่อเก็บกลับมาแล้วสามารถหลอมและขึ้นรูปใหม่ได้เต็มประสิทธิภาพ การรีไซเคิลจึงไม่เพียงช่วยลดต้นทุนและของเสีย แต่ยังรักษามูลค่าและคุณภาพของวัสดุได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ไทยก้าวสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการรีไซเคิลอลูมิเนียม โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่าเมื่อเทียบกับจีนและญี่ปุ่น” Joshua กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เติมเต็ม’ซาเล้ง’ หวังช่วยลดขยะเมือง
ในเมืองใหญ่มีซาเล้งขับตามตรอกซอกซอยเก็บเศษขยะที่กระจัดกระจายและร้านรับซื้อของเก่าตั้งอยู่ให้เห็นจนชินตา ซึ่งมีความสำคัญต่อการนำขยะเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ตอกย้ำข้อเท็จจริงว่า ขยะเป็นทอง อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่า เหล่าซาเล้งยังมีความรู้ในการคัดแยกขยะแต่ละประเภทไม่เพียงพอ รวมถึงการทำงานที่ไม่เหมาะสม ขาดความระวังต่อวัตถุอันตรายที่ทำให้


