
การสร้างห่วงโซ่แห่งความยั่งยืนกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่หลายธุรกิจทั่วโลกให้ความสำคัญมากขึ้น เพื่อตอบรับกับวิกฤตโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคมจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก เป็นหนึ่งในองค์กรที่เดินหน้าสู่ความยั่งยืนอย่างจริงจัง ผ่านกลยุทธ์ “Innovate to 2028” แผนปฏิบัติการด้านความยั่งยืนระยะ 3 ปี
กลยุทธ์ Innovate to 2028 ดำเนินงานภายใต้มีแนวคิด Sustainable Value Creation หรือ การสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืน ที่มุ่งปลูกฝังแนวคิดด้านความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งการพัฒนาทุนมนุษย์ การสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า การขับเคลื่อนนวัตกรรม และการบริหารห่วงโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งลงทุนเชิงรุกในเทคโนโลยีลดการปล่อยคาร์บอน การรีไซเคิล ชีวมวล และวัตถุดิบหมุนเวียน รวมถึงการสนับสนุนสตาร์ทอัพ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนและอนาคตที่ยั่งยืนของโลก

ดร.แอนโทนี วาตานาเบ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านความยั่งยืน อินโดรามา เวนเจอร์ส กล่าวว่า แนวคิดพัฒนาตามกรอบแนวคิดด้านความยั่งยืน เพื่อใช้เป็นแนวทางสำคัญในการผลักดันการดำเนินงานด้าน ESG และการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ โดยบริษัททำงานร่วมกับองค์การสหประชาชาติอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อสนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ทั้งยังเป็นบริษัทแรกในประเทศไทยที่จัดทำ รายงานเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDG Report) ตามกรอบเป้าหมายของสหประชาชาติ 17 ข้อ อาทิ การขจัดความยากจนและการส่งเสริมพลังงานสะอาด
ดร.แอนโทนี กล่าวต่อว่า รายงานความยั่งยืนของบริษัทครอบคลุมทั้ง 6 มิติสำคัญของความยั่งยืน ได้แก่ 1.ด้านการเงิน (Financial Capital) มุ่งสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางการเงินและความยั่งยืน โดยระดมเงินทุนด้านความยั่งยืนกว่า 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ระหว่างปี 2561–2567 เพื่อใช้ในการลงทุนด้านเทคโนโลยีขั้นสูง การดำเนินงานทั่วโลก และโครงการริเริ่มเพื่อความยั่งยืน 2.ด้านการผลิต (Manufactured Capital) ตอกย้ำความเป็นเลิศในการดำเนินงานและการบริหารจัดการธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อรองรับความต้องการของตลาดควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและของเสีย โดยในปี 2567 เพียงปีเดียว บริษัทสามารถรีไซเคิลขวด PET ได้กว่า 26.4 พันล้านขวด ลดขยะพลาสติกกว่า 2.6 ล้านตัน พร้อมเดินหน้าแผนเพิ่มกำลังการรีไซเคิลให้ได้ถึง 1.5 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2573
3.ด้านทรัพยากรมนุษย์ (Human Capital) มุ่งพัฒนาศักยภาพบุคลากรกว่า 25,000 คนทั่วโลก ผ่านโปรแกรมเสริมสร้างทักษะและความพร้อม เพื่อขับเคลื่อนองค์กรด้วยพลังของคนและเตรียมความพร้อมสู่อนาคต4.ด้านสังคมและความสัมพันธ์ (Social & Relationship Capital) ดำเนินโครงการให้ความรู้ด้านการรีไซเคิล เช่น โครงการ Waste Hero ที่ให้ความรู้แก่ประชาชนกว่า 1.1 ล้านคน ครอบคลุม 1,360 โรงเรียนและมหาวิทยาลัย รวมถึงสร้างความร่วมมือระดับโลกกับภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) และพันธมิตรในอุตสาหกรรม เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน

5.ด้านทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Capital) แสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมที่ล้ำสมัย อาทิ ขวดสปาร์กลิ้งไวน์ PET ที่รีไซเคิลได้ทั้งหมดเป็นครั้งแรกของโลก, ขวด bio-PET, เส้นใยโพลีเอสเตอร์ยั่งยืน, และ สารลดแรงตึงผิวชีวภาพ ซึ่งเกิดจากความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนา สิทธิบัตร และการพัฒนากระบวนการผลิต และ6.ด้านธรรมชาติ (Natural Capital) มุ่งลดการใช้น้ำและพลังงาน รวมถึงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน โดยสามารถ หลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ได้กว่า 3.6 ล้านตันตั้งแต่ปี 2554 ผ่านการใช้พลังงานหมุนเวียนและการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ด้านการพัฒนาทุนทางปัญญา ดร.แอนโทนี กล่าวว่า มุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอน เพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบจากชีวภาพ (Bio-based Materials) และส่งเสริมระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน สอดคล้องกับ นโยบายเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ของรัฐบาลไทย ซึ่งเป็นกรอบแนวคิดที่เข้าใจง่ายแต่ท้าทายในการปฏิบัติ บริษัทจึงนำแนวทางดังกล่าวมาปรับใช้ในกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนยิ่งขึ้น การนำวัสดุที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ (Biodegradable) เข้ามาปะปนในกระบวนการรีไซเคิล PET อาจสร้างปัญหาได้ เพราะวัสดุดังกล่าวมีจุดหลอมเหลวต่ำกว่า (Lower Thermal Barrier) ทำให้ละลายในขั้นตอนรีไซเคิลเร็วเกินไป และส่งผลต่อคุณภาพการผลิตซ้ำของวัสดุ
ดร.แอนโทนี กล่าวถึงผลิตภัณฑ์ยั่งยืนอย่าง Bio-PET ที่ได้ร่วมกับซันโทรี่ ในการใช้เทคโนโลยีพาราไซลีนเชิงชีวภาพ (bio-paraxylene) มาผลิตกรดเทเรฟทาลิกเชิงชีวภาพ (bio-terephthalic acid) และนำไปทำปฏิกิริยากับโมโนเอทิลีนไกลคอล (MEG) เพื่อผลิตเม็ดพลาสติก PET ทั้งแบบบางส่วนและ 100% bio-based ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISCC PLUS อย่างเป็นทางการ กลับคงคุณสมบัติทางเทคนิคเหมือนเดิมกับ PET ปกติ สามารถช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่ต้นทางของกระบวนการผลิต อีกหนึ่งนวัตกรรมคือ ขวด PET สำหรับไวน์มีฟอง (Sparkling Wine) โดยใช้เทคโนโลยี OxyClear ซึ่งถือเป็นขวด PET ชนิดแรกสำหรับผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ ขวดนี้มีลักษณะคล้ายขวดแก้วสีเขียว โปร่งแสงและสวยงาม แต่มีน้ำหนักเบากว่า รีไซเคิลได้ 100% และมีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่ำกว่าขวดแก้ว ขณะเดียวกันยังคงคุณสมบัติในการรักษาความสดของไวน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“สำหรับในไทยโรงงานรีไซเคิล PET ของบริษัทในจังหวัดนครปฐม มีกำลังการรีไซเคิลประมาณ 36,000 ตันต่อปี สำหรับการรีไซเคิลและผลิตเม็ดพลาสติก rPET ที่มีคุณภาพสูง นับตั้งแต่เริ่มดำเนินงานในปี 2557 จนถึงเดือน สิงหาคม 2568 โรงงานแห่งนี้ได้รีไซเคิลขวด PET ที่ผ่านการใช้งานแล้วเป็นจำนวนรวมกว่า 19.2 พันล้านขวด ปัจจุบันบริษัทฯ ยังได้จำหน่ายเม็ดพลาสติก rPET แบบ Food-Grade ที่ผ่านการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประเทศไทย ให้แก่ลูกค้าซึ่งเป็นบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ชั้นนำหลายแห่ง เพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายด้าน บรรจุภัณฑ์ยั่งยืน ของลูกค้าในประเทศไทย”ดร.แอนโทนี กล่าว
ดร.แอนโทนี ย้ำว่า แม้ในปัจจุบันทุกคนจะเห็นตัวอย่างการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนในระดับใหญ่ เช่น รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นบนท้องถนนในกรุงเทพฯ แต่กรณีของขวดน้ำอัดลม หรือขวดเครื่องดื่มขนาดเล็กที่ผู้คนนับล้านใช้ในชีวิตประจำวัน ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างสำคัญของการใช้นวัตกรรมเล็กๆ ในการสร้างความยั่งยืน ที่ส่งผลต่อโลกใบใหญ่ในอนาคต เพราะทั้งโครงการใหญ่และเล็กต่างมีบทบาทสำคัญร่วมกันในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม


