เอพี ไทยแลนด์ -มิตซูบิชิ เอสเตท สร้างเมล็ดพันธุ์ใหม่อสังหาฯ

เอพี ไทยแลนด์ ร่วมกับ บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ จากประเทศญี่ปุ่นที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 130ปี  ได้ร่วมกันตอกย้ำ ‘พันธมิตรธุรกิจที่แข็งแกร่ง’ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยในประเทศไทย ซึ่งจุดประสงค์ความร่วมมือนี้ ไม่ได้หวังเพียงแค่ผลตอบแทนทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นความมุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนให้กับวงการธุรกิจอสังหาฯ อีกด้วย โดยปฎิบัติการภายใต้โครงการ AP  OPEN HOUSE ซึ่งเอพีจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 ด้วยการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์คนรุ่นใหม่ให้เป็นคุณภาพในวงการอสังหาฯ  ล่าสุดได้นำตัวแทนนิสิตนักศึกษาผู้ชนะเลิศจากAP  OPEN HOUSE รุ่นที่ 10 บินสู่ประเทศญี่ปุ่นเพื่อเปิดโลกการเรียนรู้กับโครงการอสังหาฯระดับโลกภายใต้กลุ่มบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท

มร. โทรุ ฮายามิซุ   Executive Officer &General Manager ,ฝ่ายวางแผนธุรกิจระหว่างประเทศบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด กล่าวว่า พันธกิจของมิตซูบิชิ เอสเตทคือการสร้างสรรค์สังคมผ่านการพัฒนาเมืองและการมอบพื้นที่และบริการที่สะดวกสบายให้ลูกค้าพึงพอใจสูงสุดดังนั้นการพัฒนาโครงการของเราจึงไม่ได้มุ่งเพียงการส่งมอบโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพ ที่มีความปลอดภัยด้วยมาตรฐาน ‘FIVE EYES’ เท่านั้นแต่ยังต้องสร้างความยั่งยืนและคุณูปการต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกันด้วย  

สำหรับ การดูงานในปีนี้เป็นการผสานองค์ความรู้ระดับโลกอย่างลงตัวและต่อเนื่องโดยเริ่มต้นจากการที่เอพีถ่ายทอด วิธีคิดในการทำความเข้าใจ THE UNSPOKEN NEEDSหรือ ความต้องการและความรู้สึกที่ลูกค้าไม่ได้สื่อออกมา ทั้งในด้านอารมณ์ความผูกพัน ความสบายใจ และความภูมิใจในการใช้ชีวิต  ซึ่งเป็นหัวใจของการออกแบบโครงการในไทยจากนั้นจึงนำไปสู่การเรียนรู้ แนวคิดหลักด้าน ‘คุณภาพและความยั่งยืน’ของญี่ปุ่นจากมิตซูบิชิ เอสเตท

สิ่งที่นักศึกษาได้จากการดูงาน ซึ่งเป็นประสบการณ์จากโครงการจริงในเครือมิตซูบิชิ เอสเตท ณประเทศญี่ปุ่น  จะได้รับความรู้ ความเข้าใจ หลายประการ คือ 1. บ้านที่ดีที่ ‘เข้าใจชีวิตจริง’ ไม่ใช่แค่ขนาดที่ใหญ่  อย่างโครงการ KOMAZAWA STAGE 2  นับเป็นบทเรียนของการออกแบบที่เริ่มต้นจากความรู้สึกของลูกค้าด้วยคอนเซปต์ “ปิดด้านนอกและเปิดด้านใน”เพื่อมอบความเป็นส่วนตัวสูงสุดในการอยู่อาศัยในเขตเมืองใหญ่พร้อมดีไซน์พื้นที่อย่างเข้าใจฟังก์ชันและการเชื่อมต่อธรรมชาติ รวมถึงการนำเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน เช่น HOMETACTและ AEROTECH มาตอบโจทย์การอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน

2. การก่อสร้างคอนโดมิเนียมที่ใช้ระบบ SEISMIC ISOLATIONSTRUCTURE (ระบบโครงสร้างแยกแผ่นดินไหว)ในขนาดที่ใหญ่และมากที่สุด ซึ่งนักศึกษาโครงการ AP OPEN HOUSE รุ่นที่ 10 ได้มีโอกาสศึกษาเทคโนโลยีนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งเทคโนโลยีนี้ เป็นตัวช่วยดูดซับแรงสั่นไหวและลดความรุนแรงต่อผู้อยู่อาศัยในอาคารสูง โดยการออกแบบดังกล่าวเป็นมากกว่านวัตกรรมด้านโครงสร้าง แต่เป็นการส่งมอบความสบายใจและความมั่นใจสูงสุดให้แก่ผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมอาคารสูงในประเทศญี่ปุ่น  ซึ่งเป็นประเทศที่มีการบันทึกเหตุการณ์แผ่นดินไหวมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แม้ว่าบริบทด้านภัยพิบัติของไทยจะแตกต่างกับประเทศญี่ปุ่น แต่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท  ที่คำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุด  ซึ่งหลักคิดนี้ถูกนำไปประยุกต์ใช้กับการพัฒนาอสังหาฯในทุกพื้นที่ที่เข้าไปร่วมลงทุน   โดยปรับให้เข้ากับบริบทที่แตกต่างกัน

3. ความยั่งยืนทางระบบนิเวศใจกลางเมือง ที่ HOTORAI SQUARE ซึ่งเป็นโครงการ  BIODIVERSITY สำคัญของมิตซูบิชิ เอสเตท   เน้นการสร้างความยั่งยืนทางระบบนิเวศผ่านการดีไซน์พื้นที่ ที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกันระหว่างเมือง ผู้คน ต้นไม้ และสัตว์ที่หลากหลายโดยมีการเลือกใช้พันธุ์ไม้ท้องถิ่นที่ช่วยดูดซับปริมาณก๊าซเรือนกระจก อย่างมีประสิทธิภาพตอกย้ำว่าองค์กรระดับโลกให้ความสำคัญกับการสร้างคุณภาพชีวิตที่ต้องดีต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ

ตัวแทนจากสาขาการตลาด นางสาวพริษา ปาวงค์ สาขาวิชาการตลาดคณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม ม.ศรีนครินทรวิโรฒ และนางสาวชาลิดา ชาวเหนือ สาขาการตลาดดิจิทัล คณะบริหารธุรกิจ ม.กรุงเทพ เล่าความประทับใจร่วมกันว่า ก่อนเข้าร่วมโครงการฯ  ไม่เคยคิดเลยว่าบริษัทพัฒนาอสังหาฯจะให้ความสำคัญกับการเข้าใจความรู้สึกที่ลึกซึ้งอย่าง THE UNSPOKEN NEEDS ของลูกค้าได้มากขนาดนี้ บ้านคุณภาพไม่ใช่บ้านหลังใหญ่ที่สุด หรือบ้านที่แพงที่สุดแต่คือความเข้าใจที่ว่าทุกตารางเมตรผ่านการคิดและออกแบบมาอย่างใส่ใจ เพื่อรองรับทุกการใช้งานจริง ถึงแม้ว่าลูกค้าจะไม่ได้สื่อความต้องการออกมาก็ตามนี่คือมาตรฐานคุณภาพที่มากกว่าแค่ที่อยู่อาศัย แต่คือการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน

นักศึกษาจากสาขาวิศวกรรมโยธา นายกฤษณพงศ์ เกิดเกษม  ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี,นายปริวัฒน์ บุรวงค์ ม.เทคโนโลยีสุรนารี, นายณัชพล ร้อยศรีม.ขอนแก่น, และนางสาวสุดารัตน์กิจพิทักษ์ ม.รามคำแหง สรุปสิ่งที่ได้รับจากการดูงานว่า พวกเราประทับใจในหลักการ EMPATHY  ที่ถูกนำมาใช้ในการพัฒนาอสังหาฯ ซึ่งทำให้เราตระหนักว่า LIVING QUALITY ต้องมีความสมดุลทั้งความปลอดภัยทั้งทางกายและทางใจ ผ่านสภาพแวดล้อมที่ดีการได้ดูงานที่ญี่ปุ่นทำให้เห็นความสำคัญของความปลอดภัยจากภัยพิบัติและความละเอียดอ่อนในการดีไซน์ฟังก์ชันที่คิดมาครบทุกอย่างซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนว่าการจะสร้างโครงการที่มีคุณภาพสูงสุดได้นั้นต้องเริ่มจากการใส่ใจในดีเทลเล็กๆและมีมาตรฐานที่ชัดเจนเช่นเดียวกับหลัก FIVE EYES เพื่อส่งมอบความสบายใจแก่ผู้อยู่อาศัยทุกคน

การถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ให้แก่นักศึกษา ตลอดระยะเวลากว่า 2เดือนในโครงการ AP OPEN HOUSE ปีที่ 10  นับว่าเป็นมากกว่าแค่การฝึกงาน แต่คือการสร้าง “คนคุณภาพ”ของอุตสาหกรรม ภารกิจการจุดประกายให้น้องๆก้าวเข้าสู่วงการอสังหาฯ และร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เข้าใจ THE  UNSPOKEN NEEDS ของคนไทยอย่างแท้จริงการส่งต่อวิสัยทัศน์ระดับโลกนี้จะช่วยให้สามารถมอบ ‘ที่สุดของLIVING QUALITY ในแบบคุณ’ ให้ลูกค้ามีชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้และขับเคลื่อนการเติบโตไปพร้อมกับสังคมอย่างยั่งยืน

เพิ่มเพื่อน