
ในความทรงจำของคนไทย ภาพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ขณะโดยเสด็จ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ปฏิบัติพระราชกรณียกิจทั้งในและต่างประเทศ คือภาพแห่ง ความงดงาม สง่างาม และเปี่ยมด้วยอัตลักษณ์ไทย จากการฉลองพระองค์ด้วย ชุดไทยพระราชนิยมและชุดไทยสากล ที่ไม่ได้เป็นเพียงภาพลักษณ์อันงดงาม แต่ยังสะท้อนถึง พระราชปณิธานในการอนุรักษ์ผ้าไทยและวัฒนธรรมการแต่งกายไทย
ภาพความทรงจำอันทรงคุณค่าเหล่านี้ยังคงมีชีวิตอยู่ ที่ทุกคนสามารถชื่นชมได้ผ่าน พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ แหล่งเรียนรู้รวบรวม ฉลองพระองค์ชุดไทยพระราชนิยม ผ้าโบราณล้ำค่า และผ้าในราชสำนัก ที่ถ่ายทอดพระอัจฉริยภาพและพระวิสัยทัศน์ในการสืบสานความเป็นไทย เปรียบดั่งพระมารดาแห่งผ้าไทยที่งดงามเหนือกาลเวลา

แม้ว่าจะมีพิพิธภัณฑ์ผ้าหลายแห่งในไทย แต่พิพิธภัณฑ์ผ้าฯ แห่งนี้เกิดขึ้นจากพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงโปรดเกล้าให้จัดตั้งให้เป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับผ้าไทยและเครื่องแต่งกายประเภทต่างๆ ตามมาตรฐานสากล สำหรับนิทรรศการใน พิพิธภัณฑ์ผ้าฯ จะไม่มีการจัดแสดงแบบถาวร เนื่องจาก ผ้าเป็นวัตถุที่เปราะบาง การจัดแสดงเป็นเวลานานอาจทำให้เสื่อมสภาพได้ จึงมีการจำกัดระยะเวลาแสดงเพียง 1–2 ปี โดยผ้าชุดแรกจะจัดแสดงประมาณ 12 เดือน แต่เนื้อหาคงเดิม ก่อนเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ เพื่อคงไว้ซึ่งคุณภาพและความสมบูรณ์ของผ้าไทยอย่างดีที่สุด
ปัจจุบันมีการจัดนิทรรศการ 4 ห้อง ประกอบด้วย ห้องที่1 ชุดไทย : จากราชสำนักสู่ราชนิยม จัดแสดงฉลองพระองค์ชุดไทยพระราชนิยมทั้ง 8 แบบ, ห้องที่ 2 นิทรรศการสิริราชพัสตราบรมราชินีนาถ , ห้องที่ 3 นิทรรศการราชภูษิตาภรณ์สยาม และห้องที่ 4 นิทรรศการมองสยามตามสมัย

ภายในห้องจัดแสดงที่ 1 ของพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ ได้จัดแสดงฉลองพระองค์ชุดไทยพระราชนิยมของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง นางสาวศาสตรัตน์ มัดดิน หัวหน้าแผนกภัณฑารักษ์และการศึกษา ได้เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของชุดไทยพระราชนิยมว่า ในปี พ.ศ. 2503 สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ไปทรงเจริญพระราชไมตรีกับสหรัฐอเมริกาและประเทศต่าง ๆ พระองค์ทรงตระหนักว่าการปรากฏพระองค์ในฐานะสมเด็จพระราชินีแห่งไทย ควรสะท้อน เอกลักษณ์ของชาติอย่างสง่างามและร่วมสมัย ขณะนั้นสตรีไทยยังไม่มีเครื่องแต่งกายที่เป็นแบบแผนแน่นอน จึงมีพระราชดำริให้ตั้งคณะทำงานขึ้น ประกอบด้วย พระยาอนุมานราชธน และ สมศรี สุกุมลนันทน์ เพื่อร่วมกันออกแบบ เครื่องแต่งกายไทยร่วมสมัย โดยมีพระองค์ทรงให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด ทั้งการเลือกผ้าทอไทยและเครื่องประดับที่เหมาะสม

คณะทำงานได้ศึกษารูปแบบจากจิตรกรรมฝาผนังและภาพถ่ายในสมัยรัชกาลที่ 4 พบว่าสตรีไทยนิยม นุ่งจีบ นุ่งโจง และห่มสไบ พระองค์จึงทรงนำองค์ประกอบเหล่านี้มาประยุกต์เป็น ชุดตัดเย็บสมัยใหม่ ที่คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ไทยอย่างงดงาม จากพระราชดำริและพระอัจฉริยภาพด้านการออกแบบนี้เอง ได้ถือกำเนิดเป็น “ชุดไทยพระราชนิยม” อันทรงคุณค่า ซึ่งกลายเป็น ต้นแบบชุดประจำชาติของสตรีไทย มาจนถึงปัจจุบัน

หัวหน้าแผนกภัณฑารักษ์และการศึกษา พิพิธภัณฆ์ผ้าฯ ยังอธิบายถึงข้อมูลที่มีคนมากมายยังไม่ทราบว่า หลายคนเข้าใจผิดว่า ปิแอร์ บัลแมง (Pierre Balmain) มีส่วนร่วมออกแบบ ชุดไทยพระราชนิยม มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 ซึ่งชุดไทยพระราชนิยมช่วงแรกเป็นผลงานของทีมช่างชาวไทยทั้งหมด ส่วนบัลแมงมีหน้าที่ออกแบบ ฉลองพระองค์แบบสากล สำหรับการเสด็จเยือนต่างประเทศ เพราะความเชี่ยวชาญด้านแฟชั่นตะวันตก ทั้งการเลือกหมวก ถุงมือ รองเท้า และกระเป๋า ซึ่งเหมาะกับงานพระราชพิธีระดับรัฐ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2506 บัลแมงจึงเริ่มมีส่วนร่วมในการออกแบบ ฉชุดไทยจักรีลองพระองค์ของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยนำความเป็นไทยไปผสมผสานกับแฟชั่นตะวันตกและความเป็นสากลมากขึ้น

ชุดไทยพระราชนิยมแต่ละแบบมีเอกลักษณ์ทั้งรูปแบบ ผ้า และโอกาสสวมใส่ เริ่มจาก ชุดไทยเรือนต้น ลำลองที่สุด ยืดหยุ่นใช้งานง่าย เป็นรูปแบบเดียวที่เป็นเสื้อคอกลม แขนสามส่วน กระดุมด้านหน้า ท่อนล่างเป็นผ้านุ่งป้าย ใช้ผ้าได้หลากหลาย เช่น ผ้าไหมพื้น มัดหมี่ ฝ้าย จก หรือปัก ถัดมา ชุดไทยจิตรลดา มีความเป็นทางการมากขึ้น ต่างจากชุดไทยเรือนต้นตรงมีคอตั้ง แขนยาว ใช้ผ้าไหมยกดอกแต่ไม่ลงดิ้นทอง ผ้าไหมพื้น เหมาะงานพิธีเพิ่มความเป็นทางการ
ชุดไทยอมรินทร์ แบบตัดเย็บคล้ายชุดไทยจิตรลดา ต่างกันที่ผ้านุ่งเป็นผ้ายกทองหรือยกเงิน เหมาะทั้งงานกลางวันและกลางคืน เครื่องประดับปรับสวมใส่ได้หลากหลาย

ชุดไทยบรมพิมาน เป็นชุดเดรสติดกัน ท่อนบนและผ้านุ่งเย็บต่อกัน แขนยาว ด้านหลังติดซิป และการนุ่งจีบมีชายพก ที่มีอิทธิพลจากการแต่งกายสตรีไทยในอดีต และจำเป็นต้องมีเข็มขัด แม้ไม่สวมสร้อย
ชุดไทยดุสิต พระองค์ออกแบบชุดไทยร่วมสมัยและใช้งานได้หลากหลาย ที่มีแขนกุด คอกว้าง ไม่มีสไบหรือคอตั้ง ท่อนบนต้องมีงานปักเสมอ สามารถใช้ออกงานได้เหมือนชุดราตรีตะวันตก

ชุดไทยจักรี มีสไบพาดเฉียง เป็นแบบดั้งเดิม ก่อนบัลแมงพัฒนารูปแบบเพิ่มงานปักวิจิตร เห็นได้บ่อยในการเสด็จต่างประเทศปี พ.ศ. 2503
ชุดไทยจักรพรรดิ ด้านในเป็นชุดเดรสติดกัน คือท่อนบนเกาะอก ท่อนล่างเป็นผ้าจีบหน้า และห่มทับด้วยผ้าสไบจีบและผ้าทรงสะพักปักสวยงาม จึงยังไม่ใช่เรดี้ทูแวร์ มีความเป็นทางการสูง ชุดไทยศิวาลัย สวมได้สองแบบ แบบแรกสวมคือสวมแบบชุดบรมพิมาน ส่วนแบบที่สองคือห่มผ้าทรงสะพักทับทับเพิ่มความเป็นทางการ อีกชุดที่งดงามที่มีรูปแบบเย็บผ้าทรงสะพักติดกับขุด ใช้ในพระราชพิธีสำคัญ เช่น งานพิธีพระราชทานยศแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10

เดินเชื่อมมายังห้องที่ 4 ที่เป็นการจัดแสดงแบบ Immersive ฉายภาพความเป็นมาของชุดไทยพระราชนิยม ที่มีการฉลองพระองค์ของพระบรมวงศานุวงศ์ และประชาชน ถัดมาห้องที่ 2 จัดแสดงพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผ่านฉลองพระองค์ระหว่างปี 1960–2000 สะท้อนพัฒนาการของแฟชั่นไทยที่ผสานอัตลักษณ์พื้นถิ่นกับความร่วมสมัย ช่วงทศวรรษ 1960 ห้องเสื้อบัลแมงมีอิทธิพลสูงต่อการออกแบบ มีการผสมผสานผ้าไทยกับผ้าฝรั่ง เช่น ชุดค็อกเทลเดรสสีม่วงตัดเย็บด้วยผ้ายก ให้ความรู้สึกหรูหราและสากล

ห้องที่ 4 การจัดแสดงแบบ Immersive ฉายภาพเมื่อครั้งสมเด็จพระบรมราชชนีพันปีหลวง ตามเสด็จในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราขดำเนินเยือต่างประเทศ ทรงฉลองพระองค์ด้วยชุดไทย

“ในทศวรรษ 1970 ผ้าไหมมัดหมี่เริ่มมีบทบาทสำคัญ นับเป็นจุดเริ่มต้นของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ พระองค์ทรงรับซื้อผ้าไหมจากชาวบ้านทุกผืน แม้ลวดลายยังไม่ชัด เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้พัฒนาฝีมือ จนต่อมาผ้ามีคุณภาพสูงขึ้นและถูกนำไปตัดเย็บเป็นฉลองพระองค์ที่ทรงสวมใส่ทั้งในและต่างประเทศ ส่วนทศวรรษ 1990 พระองค์ทรงพัฒนาผ้าแพรวา ซึ่งเดิมเป็นผ้าเบี่ยงของชาวภูไท โดยมีพระราชดำริให้ขยายฟืมให้กว้างขึ้นและเพิ่มสีสันเพื่อใช้ตัดเย็บเป็นชุดได้อย่างงดงาม”นางสาวศาสตรัตน์ เล่าถึงพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงมีต่อวงการผ้าไทย

ช่วงปี 2000 ฉลองพระองค์ที่ทรงสวมในต่างประเทศถูกออกแบบให้เหมาะกับสภาพอากาศ เช่น ชุดเยือนประเทศจีนที่ตกแต่งขนเฟอร์บริเวณแขนเสื้อเพื่อความอบอุ่น อีกหนึ่งชุดโดดเด่นคือฉลองพระองค์ประดับปีกแมลงทับ อันได้แรงบันดาลใจจากงานฝีมือในวัง ที่ให้สีสันสดใสและคงทนตามธรรมชาติภายในห้องยังจัดแสดงพระมาลา (หมวก) และพระพัชนี (พัด) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์คู่ฉลองพระองค์ของพระองค์ท่านอย่างงดงาม

ส่วนห้องที่ 3 จัดแสดงฉลองพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รวมทั้งพระภูษาเศวตพัสตร์ของรัชกาลที่ 9 และผ้าในราชสำนักประเภทต่าง ๆ เช่น ผ้าเยียรบับ ผ้าเข้มขาบ ผ้าอัตลัด ผ้าลายอย่าง และผ้าปูม ซึ่งไม่เคยนำมาจัดแสดงที่ใดมาก่อน เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับผ้าในราชสำนักและธรรมเนียมการใช้ผ้าในอดีต


การมาเยือนพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ ครั้งนี้ ไม่เพียงได้ชื่นชมความงดงามของผ้าและฉลองพระองค์เท่านั้น หากยังเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และสำนึกในพระราชจริยวัตรอันงดงามของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงอุทิศพระวรกายและพระปรีชาญาณเพื่ออนุรักษ์ศิลปหัตถกรรมไทยให้คงอยู่คู่แผ่นดิน ทรงใช้ผ้า เป็นสื่อเชื่อมโยงผู้คน ศิลปะ และวัฒนธรรมเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน ทั้งนี้ ผู้เข้าชมควรแต่งกายสุภาพเรียบร้อย และใช้ทางเข้าฝั่งประตูมณีนพรัตน์ พิพิธภัณฑ์ผ้าฯ เปิดให้เข้าชมฟรี ตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป เวลา 09.00–16.30 น. สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Queen Sirikit Museum of Textiles


พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตร.พร้อมดูแลประชาชนตลอดเส้นทางเคลื่อนขบวนเชิญพระบรมศพฯ
ตร.ถวายความอาลัย พร้อมถวายความปลอดภัย ถวายพระเกียรติสูงสุด และดูแลประชาชนตลอดเส้นทางเคลื่อนขบวนเชิญพระบรมศพฯ ตั้งศปก.ส่วนหน้า และ กอ.ร่วม ดูแลความสงบเรียบร้อย ตลอดพระราชพิธี
'นราพร' นำทีมภริยาคณะรัฐมนตรีเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดิน
โฆษกรัฐบาลเผย ภริยานายกฯ นำคณะคู่สมรสคณะรัฐมนตรีเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดิน เพื่อเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
นายกฯ-ภริยา เป็นประธานพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 'พระพันปีหลวง'
นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

