นักวิจัยหญิงไทย พัฒนาวัคซีน ASFป้องกันใรคอหิวาต์ฯในหมูได้สำเร็จครั้งแรก

โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) เป็นโรคระบาดรุนแรงที่สร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมสุกรไทยมูลค่ามากกว่า 1.5 แสนล้านบาท และจนถึงปัจจุบัน ที่ผ่านมายังไม่มีวัคซีนเชิงพาณิชย์ที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยเพียงพอ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ที่จะสะกัดโรคอหิวาต์ในหมูได้ อีกทั้งไทยยังขาดเครื่องมือพื้นฐานด้านไวรัสวิทยาและภูมิคุ้มกันวิทยาที่จำเป็นต่อการพัฒนาแนวทางควบคุมโรคอย่างยั่งยืน

ในสถานการณ์ที่ท้าทาย ดร.สพ.ญ.ณัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ดำเนินงานวิจัยในหัวข้อ “การพัฒนาวัคซีนต้นแบบและแพลตฟอร์มพื้นฐานการวิจัย เพื่อการควบคุมและป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรอย่างยั่งยืนในประเทศไทย” โดยพัฒนาวัคซีนต้นแบบ ASF  ซึ่งเป็นวัคซีนต้นแบบป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร และแพลตฟอร์มเทคโนโลยีพื้นฐานที่สำคัญเพื่อสร้างความเข้มแข็งและศักยภาพภายในประเทศ

ดร.สพ.ญ.ณัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ ในห้องปฏิบัติการ

ด้วยเหตุนี้ ดร.สพ.ญ.ณัลลิกา จึงได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 4 นักวิจัยสตรีผู้ได้รับทุน “ลอรีอัล ประเทศไทย เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” (For Women in Science) ประจำปี 2568 ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 23 โดย ลอรีอัล กรุ๊ป ประเทศไทย เพื่อสนับสนุนบทบาทของนักวิจัยสตรีในสายวิทยาศาสตร์  2 สาขา ได้แก่ สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ และสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ พร้อมส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงรุ่นใหม่ที่มุ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงในด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และความยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของลอรีอัลที่มุ่งสร้างความงามที่ขับเคลื่อนโลก ผ่านการส่งเสริมงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีคุณค่าต่อสังคมในอนาคต

ดร.สพ.ญ.ณัลลิกา นักวิจัยที่ได้รับทุนในสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ กล่าวว่า โรค ASF มีการค้นพบมากว่า 100 ปีแล้ว โดยเริ่มพบในแถบแอฟริกาและยุโรป หมูป่าในภูมิภาคนั้นเป็นพาหะของโรคโดยไม่แสดงอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อสู่หมูเลี้ยงได้ผ่านการสัมผัสโดยตรงหรือผ่านแมลงพาหะ รวมถึงการปนเปื้อนในอาหารหรือผลิตภัณฑ์จากหมู ที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง โรคนี้ไม่ติดต่อสู่คน แต่ผลกระทบต่อคนเกิดขึ้นทางอ้อม เช่น การนำหมูป่วยออกจำหน่าย ทำให้มีเชื้อแบคทีเรีย หากไม่ทำให้สุก ก็จะมีอาการของโรคหูดับ

สำหรับประเทศไทยแน้วโน้มของโรค ASF  ดร.สพ.ญ.ณัลลิกา กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญกับการระบาดของโรค ASF อย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลให้ฟาร์มสุกรขนาดเล็ก-กลาง ในประเทศลดลงอย่างมากและมีบางช่วงที่ราคาสุกรปรับตัวสูงขึ้น ปัจจุบันพบว่าสายพันธุ์ของไวรัสที่ระบาดในไทยคือสายพันธุ์ที่ 2 และมีการกลายพันธุ์ผสมระหว่างสายพันธุ์ที่1และ 2  ซึ่งระบาดอยู่ในเวียดนามและจีน และระบาดเข้าสู่ไต้หวัน วัคซีนที่มีอยู่เดิมอาจป้องกันไม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไทยจึงจำเป็นต้องเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด เพราะหากสายพันธุ์ใหม่เข้ามา อาจสร้างความเสียหายรุนแรงได้เช่นกัน การพัฒนาวัคซีนต้นแบบในประเทศจึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการสร้างองค์ความรู้ เพื่อให้สามารถพัฒนาเวอร์ชันถัดไปที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในการควบคุมโรค

ดร.สพ.ญ.ณัลลิกา แก้วบริสุทธิ์

โดยมาตรการที่ใช้ในปัจจุบันคือการยกระดับความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) ในฟาร์ม เช่น การจำกัดการเข้าออกและการรักษาความสะอาดอย่างเข้มงวด ซึ่งได้ผลดีเฉพาะกับฟาร์มขนาดใหญ่ที่มีงบประมาณเพียงพอ แต่เกษตรกรรายย่อยกลับไม่สามารถปรับตัวได้ ทำให้ฟาร์มสุกรขนาดเล็กจำนวนมากต้องปิดตัวลง ในช่วงแรกของการระบาด ประเทศไทยสูญเสียฟาร์มขนาดเล็กไปกว่า 40% และแม้จะมีบางรายพยายามกลับมาเลี้ยงใหม่ ก็ต้องหยุดกิจการอีกครั้งเพราะขาดทุนและไม่สามารถควบคุมโรคได้

ดร.สพ.ญ.ณัลลิกา กล่าวว่า การพัฒนาวัคซีนต้นแบบป้องกันโรค ASF ชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ เป็นก้าวสำคัญในการควบคุมโรคระบาดในสุกร เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้มีศักยภาพสูงสุดในการป้องกันโรค โดยได้มีการทดสอบและประเมินอย่างเป็นระบบ ทั้งด้านประสิทธิผล ความปลอดภัย ผลข้างเคียง และการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันในสุกร ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกรมปศุสัตว์ เกษตรกร และสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์ม เพื่อให้ครอบคลุมปัจจัยทุกด้าน

ทีมนักวิจัยวัคซีน ASF

จากผลการศึกษาที่ใช้ระยะเวลากว่า 3 ปี ในเบื้องต้นพบว่า วัคซีนชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์มีประสิทธิภาพสูง สามารถป้องกันโรค ASF ได้ร้อยละ 70–100 และมีความปลอดภัย แม้ใช้ในขนาดโดสสูงก็ไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการหารือกับกรมปศุสัตว์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมทดสอบการใช้งานในระดับฟาร์มจริง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญในการควบคุมและลดการระบาดของโรค ASF เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมสุกรและคืนอาชีพให้เกษตรกรทั่วประเทศ

“ประเทศไทยยังขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านโรงงานผลิตวัคซีนสัตว์ที่ได้มาตรฐานจีเอ็มพี (GMP) ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขึ้นทะเบียนวัคซีนในประเทศ หากต้องการให้วัคซีนที่พัฒนาขึ้นเองสามารถขึ้นทะเบียนได้ในอนาคต จำเป็นต้องเร่งจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ขณะเดียวกัน วัคซีนต้นแบบยังอยู่ระหว่างกระบวนการอนุมัติขึ้นทะเบียน โดยมีอุปสรรคอีกด้านคือข้อจำกัดทางกฎหมายที่ยังไม่เอื้อต่อการพัฒนาวัคซีนภายในประเทศให้ดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว” ดร.สพ.ญ.ณัลลิกา กล่าว

ดังนั้นเป้าหมายระยะสั้นของทีมวิจัยคือการทดสอบวัคซีนต้นแบบในภาคสนาม ควบคู่กับการศึกษาผลการใช้วัคซีนในประเทศจีนและเวียดนาม เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการหารือกับกรมปศุสัตว์ หากได้รับอนุญาตให้ทดสอบและได้ผลดี ก็อาจนำไปสู่การอนุญาตใช้วัคซีนในฟาร์มขนาดเล็ก เพื่อช่วยลดความสูญเสียของเกษตรกรในวงกว้าง

นอกจากนี้ยังได้พัฒนา recombinant ASFV virus (ASFV001_mChNLuc) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ทำหน้าที่เสมือนห้องทดลองขนาดเล็กเพื่อศึกษากลไกของไวรัสและเร่งกระบวนการคัดกรองยา รวมถึงพัฒนาวัคซีนได้รวดเร็ว พร้อมสร้างเซลล์ไลน์จากมาโครฟาจและเซลล์ไตสุกรเพื่อรองรับการเพาะแยกเชื้อ ASF ใช้ในการผลิตวัคซีนต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ และศึกษากลไกภูมิคุ้มกันและการตอบสนองต่อการติดเชื้อของไวรัสในระดับเซลล์ องค์ความรู้และแพลตฟอร์มเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาวัคซีนสัตว์และยาต้านไวรัสอื่นๆ ได้ด้วยตนเองในอนาคต

ดร.มัตถกา คงขาว

สำหรับอีก 3 นักวิจัย ได้แก่ดร.มัตถกา คงขาว จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. ที่ได้พัฒนางานวิจัยมุ่งใช้เทคโนโลยีนาโนพัฒนาระบบนำส่งยาแบบ surface-modified lipid nanocarriers เพื่อรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น มะเร็ง เบาหวาน และโรคสมองเสื่อม โดยเพิ่มความแม่นยำในการส่งยา ควบคุมการปลดปล่อย และขยายการผลิตในระดับ Pilot Scale พร้อมทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยทั้งในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง เป้าหมายคือเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา ยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างแพลตฟอร์มเทคโนโลยีสอดคล้องยุทธศาสตร์การแพทย์แม่นยำของประเทศ

รศ.ดร.พิชชา จองวิวัฒสกุล

รศ.ดร.พิชชา จองวิวัฒสกุล จากภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ  ได้พัฒนางานวิจัยมุ่งเปลี่ยนวัสดุเหลือทิ้งทางเกษตรและอุตสาหกรรมเป็นคอนกรีตคาร์บอนต่ำ (จีโอพอลิเมอร์) โครงการนี้ใช้เถ้าชีวมวลซึ่งอุดมด้วยซิลิกาและอะลูมินา มาสังเคราะห์เป็น “จีโอพอลิเมอร์คอนกรีต” ซึ่งเป็นคอนกรีตที่ไม่ต้องพึ่งพาปูนซีเมนต์ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ลดการใช้ปูนซีเมนต์ ทรายธรรมชาติ และพลาสติก ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน และขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างยั่งยืน

ดร.รงรอง เจียเจริญ

ดร.รงรอง เจียเจริญ นักวิจัยชำนาญการ จากสถาบันวิจัยโลหะและวัสดุ จุฬาฯ ผู้พัฒนางานวิจัยหัวข้อ”การพัฒนาโซลาร์ประสิธิภาพสูง  ต้นทุนต่ำ และแบตเตอร์รี่ปลอดภัย ผ่านวัสดุยั่งยืยและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อความมั่นคงทางพลังงานและสังคมคาร์บอนเป็นศูนย์” กล่าวว่า งานวิจัยนี้มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดผ่านวัสดุยั่งยืนและกระบวนการผลิตเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเน้นเซลล์แสงอาทิตย์เพอรอฟสไกต์ประสิทธิภาพสูง น้ำหนักเบา โค้งงอได้ และแบตเตอรี่ของแข็งที่ปลอดภัยและเก็บประจุได้มาก ใช้วัสดุที่หาได้ง่ายในประเทศหรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในการสังเคราะห์และออกแบบ ส่วน แบตเตอรี่เน้นวัสดุปลอดภัยและต้นทุนต่ำ เช่น สังกะสีและเหล็ก พร้อมพัฒนาสู่แบตเตอรี่กึ่งแข็งโดยใช้พอลิเมอร์อิเล็กทรอไลต์คอมโพสิต พัฒนาสู่การใช้ในครัวเรือนและชุมชน พร้อมทดสอบความเสถียรและประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมต่างๆ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อรรถกร' โอด รับดราม่าซีเกมส์คนเดียวอาจผิดธรรมชาติไปนิด ย้ำพิธีเปิดจะทำได้ดีแน่นอน

'อรรถกร' โอด รับดราม่าซีเกมส์คนเดียวอาจผิดธรรมชาติไปนิดนึง เชื่อไม่ได้ถูกวางงานจากรบ.ก่อน แจงปมใช้โปสเตอร์ AI ด้อยค่านักออกแบบ จ่อคุยผู้รับผิดชอบ ย้ำ พิธีเปิดจะทำได้ดีแน่นอน