โมเดลการศึกษาแบบ'ฟินแลนด์ 'ออกกฎคุมเด็กใช้' สมาร์ทโฟน-AI 'ในรร.

นายอานเดอร์ส อัดเลอร์เคริทซ์ รมว.กระทรวงศึกษาธิการประเทศฟินแลนด์

การศึกษาของฟินแลนด์ได้รับการยกย่องว่าเป็นระบบที่ดีที่สุดในโลก และถือเป็นต้นแบบของการพัฒนาการศึกษาสำหรับหลายประเทศ จุดเด่นของการเรียนการสอนแบบฟินแลนด์คือ การให้ความสำคัญกับธรรมชาติของผู้เรียนเป็นหลัก บ่มเพาะจินตนาการและความสุขในการเรียนรู้ของเด็ก ผ่านการเล่น การลงมือปฏิบัติจริง และการพัฒนาศักยภาพของเด็กแต่ละคนอย่างเฉพาะตัว ระบบการศึกษานี้จึงเป็นแบบอย่างที่ชัดเจนสำหรับประเทศที่ต้องการยกระดับคุณภาพการศึกษา

เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดและสร้างความร่วมมือในการพัฒนาการศึกษาไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตฟินแลนด์ประจำประเทศไทย จัดการบรรยายพิเศษหัวข้อ “The School of The Future and Its Success Factors” (โรงเรียนแห่งอนาคตและปัจจัยสู่ความสำเร็จ) โดย อานเดอร์ส อัดเลอร์เคริทซ์ (Anders Adlercreutz) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการสาธารณรัฐฟินแลนด์ นำเสนอแนวทางการพัฒนาการศึกษาเพื่อสร้างระบบที่เอื้อต่อศักยภาพและความสุขของผู้เรียนในอนาคต

อานเดอร์ส อัดเลอร์เคริทซ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการสาธารณรัฐฟินแลนด์ กล่าวว่า ประเทศฟินแลนด์เป็นประเทศที่ยังถือว่าอายุน้อยเพราะเพิ่งประกาศเอกราชในปี 1917 ก่อนหน้านั้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1800 ฟินแลนด์ยังเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย โดยช่วงเวลานั้นเองที่แนวคิดเรื่องความเป็นชาติฟินแลนด์ เริ่มก่อตัวขึ้นซึ่งจุดกำเนิดของอัตลักษณ์ความเป็นฟินแลนด์มาพร้อมกับความพยายามในการสร้างและเสริมความแข็งแกร่งให้วัฒนธรรมฟินแลนด์ โดยโรงเรียนมีบทบาทสำคัญตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะถูกมองว่าเป็นพื้นที่หล่อหลอมความเป็นชาติ จนกลายเป็นรากฐานทางความคิดที่ฝังลึกในจิตสำนึกของผู้คนว่าการศึกษาคือหัวใจสำคัญของประเทศ

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระบบการศึกษาฟินแลนด์แข็งแกร่งอย่างที่เห็นในปัจจุบัน คือการปฏิรูปครั้งใหญ่ในช่วงทศวรรษ 1970 เมื่อฟินแลนด์นำระบบโรงเรียนแบบเดียวทั่วประเทศ หรือ Comprehensive school มาใช้ แทนระบบเดิมที่กระจัดกระจาย แต่ละโรงเรียนจึงมีมาตรฐานเดียวกัน ดำเนินการโดยภาครัฐและใช้หลักสูตรเดียวกันทั่วประเทศ ผลของระบบนี้ทำให้ชาวฟินแลนด์เชื่อมั่นว่า โรงเรียนข้างบ้านก็ดีเท่าโรงเรียนอื่นๆ จึงแทบไม่มีวัฒนธรรมเลือกโรงเรียน เพราะทุกแห่งถูกคาดหวังให้มีคุณภาพใกล้เคียงกัน

อานเดอร์ส กล่าวต่อว่า หัวใจสำคัญอีกประการคือ ครู โดยที่ฟินแลนด์กำหนดว่าครูทุกคนต้องจบการศึกษาระดับปริญญาโท อาชีพครูจึงเป็นที่ต้องการสูง การเข้าศึกษาในสาขาครู มีการแข่งขันที่เข้มข้นมาก นอกจากนี้ครูยังรู้สึกว่าตนได้รับการยอมรับจากสังคมอย่างแท้จริง ผลสำรวจพบว่า 60% ของครูฟินแลนด์เชื่อว่าสังคมให้คุณค่ากับงานของพวกเขา ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศในยุโรป และอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก อีกทั้งความน่าดึงดูดของอาชีพครูนี้เกิดขึ้นจาก อิสระในการทำงาน ให้ครูสามารถพัฒนานักเรียนได้เต็มศักยภาพ ไม่จำเป็นต้องมีระบบตรวจโรงเรียนหรือนำการสอบระดับชาติที่เข้มงวดมาควบคุม เพราะสิ่งเหล่านั้นจะดึงเวลาไปจากการทำงานของครู ดังนั้นตั้งแต่การปฏิรูปในยุค 1970 เป็นระบบโรงเรียนแบบเดียวทั่วประเทศ และบทบาทของครูที่แข็งแกร่ง ล้วนทำให้การศึกษากลายเป็นกระดูกสันหลังของความเป็นฟินแลนด์

รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาฟินแลนด์ กล่าวต่อว่า  ในโรงเรียนในฟินแลนด์มีขนาดชั้นเรียนค่อนข้างเล็ก โดยทั่วไปมีนักเรียนราว 20 คน ทำให้สามารถทำงานกลุ่มร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ กิจกรรมการเรียนรู้จำนวนมากเป็นลักษณะของการทำโครงการร่วมกัน นักเรียนจึงต้องช่วยเหลือและสนับสนุนกัน เพื่อให้ทุกคนรับผิดชอบงานส่วนของตน และโครงสร้างองค์กรนักเรียนภายใน ซึ่งนักเรียนจะมีบทบาทและความรับผิดชอบต่อชุมชนของโรงเรียน ทั้งในด้านการดูแลกันและกัน รวมถึงการป้องกันไม่ให้เกิดการกลั่นแกล้ง นักเรียนจะเรียนรู้ทักษะด้านอารมณ์ เช่น การพัฒนาความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีภายในห้องเรียน เพื่อให้ทุกคนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม

สังคมออนไลน์ นวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว อานเดอร์ส กล่าวว่า แม้ฟินแลนด์จะถูกยกให้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก แต่ก็ยังเผชิญความท้าทายใหม่ ๆ เช่นเดียวกับหลายประเทศ เด็กยุคใหม่อ่านหนังสือน้อยลง สมาธิสั้นลงจากการใช้สมาร์ทโฟน และมีพฤติกรรมการเสพสื่อแบบรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อทักษะพื้นฐาน เช่น การอ่าน การคิดวิเคราะห์ และความสามารถในการจดจ่อกับงานเป็นเวลานาน หลายประเทศเริ่มจำกัดการใช้โทรศัพท์มือถือในโรงเรียน ฟินแลนด์ก็ปรับมาตรการให้รัดกุมมากขึ้น โดยกำหนดว่าในช่วงเวลาเรียน เด็กไม่จำเป็นต้องใช้สมาร์ทโฟน ผลลัพธ์ปรากฏชัดเจน เด็กมีสมาธิมากขึ้น ลดการใช้โซเชียลมีเดียแบบไร้จุดหมาย กลับมาเล่นกับเพื่อนทำกิจกรรมกลุ่มที่สร้างประโยชน์ต่อการเรียนรู้และพฤติกรรมทันที โดยไม่ต้องลงทุนสูงหรือเปลี่ยนหลักสูตรใหญ่

ด้านเทคโนโลยี AI แม้จะช่วยเพิ่มความสะดวก เช่น การค้นคว้า การจัดระบบข้อมูล หรือการฝึกทักษะเฉพาะ แต่ก็ไม่ควรใช้โดยไม่มีการกำกับดูแล และไม่ควรปล่อยให้เด็กพึ่งพามากเกินไป เพราะอาจลดทักษะในการคิดวิเคราะห์ด้วยตนเอง สิ่งสำคัญคือการสอนให้เด็กอยู่กับ AI อย่างฉลาด คือใช้เมื่อจำเป็น ใช้อย่างมีสติ และรู้วิธีปกป้องข้อมูลของตนเองเพราะยังมีทักษะหลายอย่างที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้ ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสารและใช้ภาษา ความเข้าใจมนุษย์และเห็นอกเห็นใจ การทำงานร่วมกับผู้อื่น การปรับตัวในสถานการณ์ใหม่ และความเข้าใจวัฒนธรรมหลากหลาย

“การศึกษาที่ดีไม่ใช่หน้าที่ของโรงเรียนฝ่ายเดียว แต่เป็นความร่วมมือของครอบครัว ชุมชน และสังคมรอบด้าน การสนับสนุน เอาใจใส่ และความเข้าใจจากผู้ใหญ่คือพลังสำคัญที่จะหล่อหลอมให้เด็กเติบโตอย่างมั่นคง พร้อมรับมือโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอนาคต” อานเดอร์ส กล่าว

ผศ.ดร.ชนิศา ตันติเฉลิม

ด้านผศ.ดร.ชนิศา ตันติเฉลิมรองคณบดี กำกับดูแลภารกิจวิรัชกิจและกิจการพิเศษ คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวเสริมว่า  ระบบการศึกษาของฟินแลนด์เป็นที่ยอมรับในระดับสากลว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่พัฒนาการศึกษาได้อย่างเข้มแข็ง ทั้งด้านคุณภาพครู คุณภาพผู้เรียน และโครงสร้างระบบที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ดังนั้นการบรรยายพิเศษนี้ ทางคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ในฐานะผู้นำด้านการผลิตครู นักวิจัย และบุคลากรการศึกษา มีเป้าหมายเพื่อเรียนรู้ว่าบทเรียนจากฟินแลนด์สามารถนำมาปรับใช้กับห้องเรียนไทยได้

ผศ.ดร.ชนิศา กล่าวต่อว่า แม้ไม่สามารถคัดลอกทุกอย่างได้ทั้งหมด แต่ครูและอาจารย์สามารถนำแนวคิดไปวิเคราะห์และสังเคราะห์ เพื่อเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับบริบทไทย ตัวอย่างเช่น ฟินแลนด์มีการออกกฎเพื่อควบคุมการใช้สมาร์ทโฟนในโรงเรียน ใช้เฉพาะเมื่อจำเป็น นอกจากนี้ ในปี 2021 ยังได้ปรับอายุการศึกษาภาคบังคับจาก 15 เป็น 18 ปี เพื่อให้เด็กมีทักษะพื้นฐานที่แข็งแกร่งก่อนก้าวสู่วัยผู้ใหญ่ โดยเน้นทักษะมนุษย์ (Human skills) เช่น ความเห็นอกเห็นใจ ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น และความเข้าใจผู้อื่น มากกว่าความรู้เชิงวิชาการเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นทักษะสำคัญของมนุษย์ในอนาคต

“อีกประเด็นสำคัญคือจำนวนเด็กต่อห้อง ฟินแลนด์มีนักเรียนเพียงราวสิบกว่าคนต่อห้อง ขณะที่ไทยมีตั้งแต่ 30–45 คน ทำให้ครูไทยมีภาระมาก และไม่สามารถทำงานได้เหมือนครูฟินแลนด์ ที่มีอิสระในการออกแบบการสอน ใช้ความรู้และความสามารถบริหารจัดการห้องเรียนเต็มศักยภาพ แต่ปัจจุบันครูไทยยังต้องปฏิบัติตามคำสั่งจากหลายระดับ และรับงานนอกห้องเรียนมาก ทำให้ขาดโอกาสพัฒนาตนเองตามเส้นทางอาชีพที่แท้จริง  เพราะฟินแลนด์ให้ความสำคัญกับอิสระของครู ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญ หากไทยเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ การศึกษาไทยก็อาจปลดล็อก เปิดโอกาสให้ครูเติบโต เรียนรู้ไปพร้อมเด็ก และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง” ผศ.ดร.ชนิศา กล่าว

มุมมองต่อระบบการศึกษาไทย ผศ.ดร.ชนิศา กล่าวว่า ปัญหาการศึกษาไทยซับซ้อน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม สิ่งสำคัญคือการกลับไปดู “ต้นน้ำ” คือการผลิตครู หากครูได้รับการปลูกฝังอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก แม้เผชิญความท้าทายก็ยังยึดมั่นจรรยาบรรณและโฟกัสผู้เรียน การปลูกฝังจรรยาบรรณไม่ใช่แค่ให้อ่านเป็นข้อ ๆ แต่ต้องสร้างผ่านประสบการณ์จริง เช่น การฝึกสอนและกิจกรรมตั้งแต่ช่วงเลือกวิชาชีพ เพราะความเป็นครูต้องมีคุณลักษณะเหมาะสมตั้งแต่ต้นทาง ฟินแลนด์เองก็ยอมรับว่าไม่สมบูรณ์แบบ ยังอยู่ในกระบวนการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับไทย ซึ่งไม่ควรมองโรงเรียนไทยทั้งหมดว่าแย่ แต่ควรมุ่งเป้าหมายร่วมกันคือ การทำให้เด็กเติบโตเป็นมนุษย์ที่ดี มากกว่าการเป็นเพียงผู้สอบได้คะแนนสูง เพราะฟินแลนด์ให้ความสำคัญกับทักษะมนุษย์และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มากกว่าทักษะทางวิชาการ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“รมว.นฤมล”ถกบอร์ดจัดการศึกษาคนพิการ เคาะ ตั้งอนุกรรมการ ทบทวน กม.ปรับให้ทันสมัย หนุนเด็กพิการมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น

เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2568 ที่กระทรวงศึกษาธิการ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ ครั้งที่ 3/2568 โดยมีนายชาญวิทย์ มุนิกานนท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

“รมว.นฤมล”ชี้ AI ช่วยเพิ่มความรู้และเข้าถึงข้อมูลอย่างรวดเร็ว แต่ต้องมีกลไกกำกับด้านจริยธรรม พร้อมห่วงเด็กไทยอาจได้ผลกระทบด้านจิตใจและอารมณ์

เมื่อวันที่ 4 ก.ย.ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และหัวหน้าพรรคกล้าธรรม(กธ.)เป็นประธานเปิดงานสัมมนา “การขับเคลื่อนมาตรฐานการศึกษาของชาติ: AI for Education ปั้นคนไทยสู่อนาคต