ข้าวไทย 10 สายพันธุ์พื้นเมือง มรดกภูมิปัญญาจากชุมชนสู่ตลาด

ข้าวพันธุ์พื้นเมือง 10 สายพันธุ์ หุงขึ้นหม้อมีความหอม

ข้าวคือพืชสำคัญลำดับต้นๆ ของไทย ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ การเกษตร และความมั่นคงทางอาหาร ไม่ว่าจะเป็นข้าวหอมมะลิ 105 ข้าวเหนียว กข 6 ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ หรือข้าวเสาไห้ ล้วนเป็นสายพันธุ์ที่เราคุ้นเคยกันดีในท้องตลาด แต่เบื้องหลังความมั่งคั่งของอุตสาหกรรมข้าวไทย ยังมี “ข้าวพื้นเมือง” อีกหลากหลายสายพันธุ์ที่กระจายตัวอยู่ในภูมิภาคต่างๆ ข้าวเหล่านี้มักไม่ได้ปลูกเพื่อเชิงพาณิชย์ หากเป็นพันธุ์ดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาภายในชุมชน อาศัยภูมิปัญญาการปลูกที่สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ ทั้งในพื้นที่นาน้ำและไร่บนพื้นที่สูง

เพื่อต่อยอดและสืบสานคุณค่าข้าวไทยพันธุ์พื้นเมือง พร้อมสร้างความมั่นคงให้เศรษฐกิจท้องถิ่น กลุ่มเซ็นทรัลจึงเดินหน้าร่วมอนุรักษ์ผ่านโครงการ “เซ็นทรัล ทำ ทำด้วยกัน ทำด้วยใจ” โครงการด้านความยั่งยืนที่มุ่งผลักดันข้าวพันธุ์พื้นเมืองให้กลับมาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ทั้งกลุ่มพันธุ์คุณค่าสูงและพันธุ์หายากที่ใกล้สูญหาย โดยมุ่งให้ชุมชนสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน พร้อมสร้างความเข้าใจใหม่ถึงความหลากหลายและความสำคัญของข้าวไทยในหลายมิติ  โดยในปีนี้ โครงการได้คัดเลือกและรวบรวมข้าวพื้นเมือง 10 สายพันธุ์ จาก 7 จังหวัด 8 ชุมชนทั่วประเทศ ร่วมกับมูลนิธิชัยพัฒนา เพื่อนำเสนอเมล็ดพันธุ์ที่สะท้อนเอกลักษณ์ วัฒนธรรม ภูมิปัญญา และรากเหง้าของแต่ละถิ่นฐานให้คนไทยได้รู้จักผ่านการจัดแสดงและจำหน่ายในเซ็นทรัล ทำ พาวิลเลียน ภายในงาน Thailand Rice Fest 2025 ที่ผ่านมา

พิชัย จิราธิวัฒน์

สำหรับข้าวพื้นเมือง 10 สายพันธุ์ ประกอบด้วย 1.ข้าวหอมมะลิ 2.ข้าวผกาอำปึล จากวิสาหกิจชุมชนเกษตรทฤษฎีใหม่ จ.สุรินทร์ 3.ข้าวหอมมะลิแดง จากวิสาหกิจชุมชนธนาคารพืชผักบ้านสำโรง จ.สุรินทร์  4..ข้าวฮางหอมมะลิ 5.ข้าวฮางข้าวเหนียว จากวิสาหกิจชุมชนบ้านฮางทิพย์ จ.สกลนคร 6.ข้าวสังข์หยด จากวิสาหกิจชุมชนท่าช้างฟื้นฟูเศรษฐกิจ จ.พัทลุง 7.ข้าวเบายอดม่วง จากเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนผลิตและแปรรูปข้าวตรัง จ.ตรัง 8.ข้าวไร่ดอกข่า จากวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ปลูกข้าวไร่ดอกข่าตำบลตากแดด จ.พังงา 9.ข้าวกล้องดอยพื้นเมือง (บือซอมี) จากวิสาหกิจชุมชนเกษตรแปรรูปภูแจ่มใสและผ้าทอมือบ้านแม่ลานคำ จ.เชียงใหม่  10.ข้าวหอมปทุมธานี 1 จากศูนย์บริการวิชาการเกษตรของมูลนิธิชัยพัฒนาอำเภอลำลูกกา จ.ปทุมธานี

พิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เซ็นทรัล ทำ มุ่งผลักดันการทำงานร่วมกันระหว่างธุรกิจ ชุมชน และเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ซึ่งเป็นต้นน้ำสำคัญของสังคมไทย เพราะเราเชื่อว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนต้องเริ่มจากรากฐานที่เข้มแข็ง ปีนี้จึงเปิดพื้นที่ให้คนไทยได้รู้จักข้าวไทยพันธุ์พื้นเมืองทั้ง 10 สายพันธุ์ ที่มีทั้งเรื่องราว รสชาติ และอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น สะท้อนภูมิปัญญาและวิถีการปลูกของเกษตรกรในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้ข้าวไทยถูกมองไกลกว่าวัตถุดิบในจานอาหาร แต่คือมรดกทางวัฒนธรรมที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เมื่อร่วมกันสนับสนุน คุณค่าของข้าวไทยจะไม่เพียงถูกรักษาไว้ แต่จะกลายเป็นโอกาสใหม่ ช่วยสร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนผู้ปลูก  เชื่อมั่นว่าข้าวไทยมีศักยภาพ ความหลากหลาย และความงดงามไม่แพ้อาหารชาติใดในโลก

ดร.กนกพร คงยศ(ขวา)

ด้านดร.กนกพร คงยศ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตากแดด และตัวแทนวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกข้าวไร่ดอกข่า ตำบลตากแดด จังหวัดพังงา กล่าวว่า ข้าวไร่ดอกข่าเป็นข้าวพื้นเมืองเฉพาะถิ่นของพังงา ไม่เคยมีการปลูกในพื้นที่อื่น และไม่ได้วางจำหน่ายอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านบางครัวเรือนปลูกไว้บริโภคเองตามวิถีดั้งเดิม โดยยังใช้วิธี น่ำไร่ ซึ่งเป็นการปลูกข้าวแบบพื้นบ้านที่ใช้กระบอกไม้ไผ่กระทุ้งดินให้เป็นหลุมก่อนหยอดเมล็ดพันธุ์ลงไป ช่วงหนึ่ง ข้าวไร่ดอกข่าเริ่มถูกปลูกน้อยลง เนื่องจากชาวบ้านหันไปทำพืชไร่เศรษฐกิจหรือทำนาแทน จนกระทั่งราวปี 2552–2553 ข้าวสายพันธุ์นี้เริ่มกลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้ง เมื่อมีการนำมาปลูกในโรงเรียนปลูกเพียง 2–3 ไร่  และใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียในการประชาสัมพันธ์ ส่งผลให้ข้าวไร่ดอกข่าได้รับความสนใจและถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางมากขึ้น

 “ปัจจุบันกลุ่มผู้ปลูกข้าวไร่ดอกข่ารวมตัวเป็นวิสาหกิจชุมชน 22 ราย สมาชิกส่วนใหญ่ทำสวนยางและสวนปาล์ม จึงใช้พื้นที่สวนยางที่โค่นแล้วปลูกแซมข้าวไร่ รวมพื้นที่ราว 300 ไร่ ให้ผลผลิตเฉลี่ย 250–350 กก./ไร่ และอาจสูงกว่านั้นหากดูแลดี อดีตราคาขายอยู่ที่ 45–50 บาท/กก. แต่ปัจจุบันปรับสูงขึ้นตามคุณภาพ บรรจุภัณฑ์ และมาตรฐานการสีข้าวที่กำหนดให้ขัดเพียง 1% เพื่อคงคุณค่าทางอาหาร เช่น โอเมก้า สารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินบี จุดเด่นของข้าวไร่ดอกข่าคือกลิ่นหอมคล้ายใบเตย และมีหลายโทนสีตามระดับการขัด ได้แก่ แดง ชมพูเข้ม และชมพูอ่อน โดยกลุ่มรักสุขภาพนิยมสีแดงที่สุดเพราะมีคุณค่าสูง เมื่อหุงจะหอมนุ่ม แม้เมล็ดดิบจะดูแข็ง แต่เมื่อนึ่งหรือหุงแล้วนุ่มอร่อย”ดร.กนกพร กล่าว

ข้าวไร่ดอกข่า

ดร.กนกพร กล่าวต่อว่า ข้าวไร่ดอกข่าแตกต่างจากข้าวสังข์หยด ของพัทลุง เพราะปลูกบนพื้นที่สูงแบบไร่ ไม่ใช่นา ไม่มีการไถหรือคันนา ส่งผลให้ปลูกยากและให้ผลผลิตต่ำ จึงไม่เป็นที่นิยม ข้าวไร่ปลูกได้ปีละครั้งช่วงกรกฎาคม–สิงหาคม และเก็บเกี่ยวในเดือนธันวาคม ทำให้มีปริมาณจำกัดและมีมูลค่าสูง ปัจจุบันข้าวไร่ดอกข่าได้รับการขึ้นทะเบียน GI จากกรมทรัพย์สินทางปัญญาแล้ว ผลผลิตมีจำหน่ายตามปริมาณที่ชุมชนทำได้ ไม่ได้ผลิตจำนวนมาก กระนั้น เซ็นทรัลได้นำข้าวไร่ดอกข่าไปใช้เป็นวัตถุดิบในร้าน Spaghetti Factory และ Good Goods หลายสาขาเพื่อสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่

พิสมัย รอดสวาสดิ์ ตัวแทนวิสาหกิจชุมชนเกษตรแปรรูปภูแจ่มใสและผ้าทอมือบ้านแม่ลานคำ จ.เชียงใหม่ กล่าวถึงข้าวกล้องดอยพื้นเมือง (บือซอมี) ว่า  บ้านแม่ลานคำ ตั้งอยู่ในต.สะเมิง อ.แม่วาง ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเลราว 1,500 เมตร ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวปกาเกอะญอที่ยังคงปลูกข้าวไว้บริโภคเองบนพื้นที่สูง ไม่ได้ปลูกเพื่อจำหน่าย โดยข้าวพื้นเมืองมีหลายสายพันธุ์แต่บางสายพันธุ์เริ่มเสี่ยงสูญหายเพราะคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยสืบต่อการปลูก ปัจจุบันยังมี 26 ครัวเรือนร่วมกันปลูกและอนุรักษ์ โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงการหลวงในการควบคุมไม่ให้ข้าวกลายพันธุ์ ใช้วิธีปลูกแบบไร่และแบบขันบันได พร้อมหมุนเวียนปลูกปีละ 1–2 สายพันธุ์

พิสมัย รอดสวาสดิ์

พิสมัย กล่าวต่อว่า สายพันธุ์ที่นิยมปลูกคือบือโปะโละ และบือซอมี โดยสายพันธุ์ที่นำมาจำหน่ายคือบือซอมี หรือภาษาไทยเรียกว่า ข้าวไก่ป่า เพราะมีลักษณะเมล็ดเรียวยาวคล้ายข้าวหอมมะลิ เนื้อนุ่มและมีกลิ่นหอม แตกต่างจากบือโปะโละที่เมล็ดป้อมคล้ายข้าวญี่ปุ่น ข้าวกล้องบือซอมีมีใยอาหารสูง อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินบี6 บำรุงระบบประสาท ปลูกแบบขันบันไดให้ผลผลิตเฉลี่ยครัวเรือนละประมาณ 10 กระสอบต่อสายพันธุ์ (กระสอบละราว 100 กก.) ทั้งนี้ หากเก็บรักษาไม่ดี ข้าวจะเสียหายง่าย จึงทำให้การรักษาสายพันธุ์ยังคงเป็นความท้าทายของชุมชน

ข้าวกล้องดอยพื้นเมือง (บือซอมี)

“ช่องทางจำหน่ายในปัจจุบันมีเพียงที่เซ็นทรัล เนื่องจากปริมาณผลผลิตมีจำกัด ชุมชนเลือกขายแบบข้าวประณีต เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ จึงไม่ผลิตมากพอที่จะกระจายสู่ร้านค้าหลายแห่ง อีกทั้งมีต้นทุนสูงจากการสีข้าวแบบอินทรีย์ที่ต้องแยกโรงสีไม่ให้ปนกับข้าวเคมี รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านขนส่งจากพื้นที่บนดอย ราคาจำหน่ายอยู่ที่กิโลกรัมละ 130–180 บาท ซึ่งถือว่าเหมาะสมเมื่อเทียบกับคุณภาพ นอกจากนี้ ชุมชนยังจัดทำบรรจุภัณฑ์ขนาด 500 กรัม เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้น” พิสมัย กล่าว

ข้าวไทย 10 สายพันธุ์พื้นเมือง

สำหรับผู้ที่สนใจข้าวพันธุ์พื้นเมือง สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.centraltham.com/rice-fest  และที่ร้าน Good Goods ทุกสาขา  ติดตามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : CentralTham, CentralGroup และ Good Goods

8 ตัวแทนชุมชนข้างพันธุ์พื้นเมืองไทย

เพิ่มเพื่อน