
อาทิตย์นี้จะพาไปเที่ยว กรุงเก่า ซึ่งหมายถึง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมืองที่เหนือกาลเวลา เชื่อมต่อประวัติศาสตร์ กับยุคสมัยปัจจุบัน เป็นอดีตที่จับต้องได้ เพราะมีอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลก ะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ที่ผู้คนทั่วโลก อยากมาเยือน
บนพื้นที่กว่า 1,810 ไร่ ครอบคลุมใจกลางเกาะเมืองทิศเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง ซึ่งมีโบราณสถานสำรวจแล้ว 95 แห่ง อาทิ พระราชวังโบราณ วัดไชยวัฒนาราม วัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดราชบูรณะ วิหารพระมงคลบพิตร รวมถึงวัดพระราม วัดญาณเสน วัดธรรมิกราช วัดวรโพธิ์ และวัดวรเชษฐาราม ฯลฯ ล้วนเป็นสถานที่ทรงคุณค่าที่สะท้อนรากเหง้าในอดีต
ร่องรอยอารยธรรมหลายร้อยปี ทำให้เราได้เรียน รู้เรื่องราวความเป็น กรุงศรีอยุธยา ราชอาณาจักรโบราณของไทย ช่วงเวลากลางวันถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการเยี่ยมชม เพราะจะเห็นรายละเอียด ความวิจิตรของสถาปัตยกรรมโบราณได้ชัดเจน แต่ช่วงเวลาที่ถือว่าวิเศษที่สุด ก็คือ ช่วงตอนเย็นเมื่อแสงอาทิตย์ลาลับ ซากปรักหักพังที่เห็นกลับแปรเปลี่ยนเป็นอีกโลกหนึ่งที่เต็มไปด้วยแสงเงาและบรรยากาศลึกลับชวนค้นหา

โดยปีนี้ที่วัดไชยวัฒนาราม กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ได้จัดงาน “อยุธยานาวา เมืองท่านานาชาติ ร่มพระบารมีสิริยาลัย” เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ใช้พื้นที่วัดไชยวัฒนารามซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามพระตำหนักสิริยาลัยเป็นจุดไฮไลต์ พร้อมกิจกรรมเชื่อมต่อไปยังวัดพระราม และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั้งจันทรเกษมและเจ้าสามพระยา ภายใต้โครงการท่องเที่ยวโบราณสถานและพิพิธภัณฑ์ยามราตรี ที่จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ทำให้การเที่ยวอยุธยาในครั้งนี้เต็มไปด้วยสีสันและประสบการณ์ใหม่ เติมชีวิตให้เมืองเก่าในยามรัตติกาล และชวนให้ผู้มาเยือนได้ดื่มด่ำกับประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม

สำหรับวัดไชยวัฒนาราม เป็นวัดสำคัญริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาในอำเภอพระนครศรีอยุธยา คือหนึ่งในสถานที่ที่นักเดินทางทุกคนต้องมาเยือนให้ได้สักครั้ง เมื่อก้าวเข้าสู่ลานกว้างของวัดอาจจะมีบางส่วนที่อยู่ในระหว่างการบูรณะ แต่ไม่อาจบดบังความงามอันสง่างามของปรางค์ประธานที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า องค์ปรางค์หันสู่ทิศตะวันออกตามคตินิยมโบราณ สะท้อนถึงเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้โดยหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ทำให้ทุกย่างก้าวรู้สึกราวกับกำลังเดินเข้าไปในโลกที่ผสานศรัทธาและสถาปัตยกรรมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
เมื่อเดินเข้าไปยังเขตด้านใน ปรางค์ประธานสูงใหญ่ก็ยิ่งเผยให้เห็นรายละเอียดอันประณีต ทั้งมุขยื่นสี่ด้าน ลายใบขนุนซ้อนเจ็ดชั้น และยอดทรงดอกบัวตูมที่เป็นเอกลักษณ์ แบบสถาปัตยกรรมที่พบในอยุธยาตอนต้นกลับมาปรากฏอีกครั้ง แม้ตัววัดจะสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลางก็ตาม รอบองค์ปรางค์มีปรางค์บริวารอีกสี่องค์เรียงราย เพิ่มความสมดุลและยิ่งขับให้ภาพรวมของวัดดูทรงพลังขึ้นอย่างงดงาม

ตามแนวระเบียงคดที่ล้อมรอบฐานประทักษิณ จะพบกับเมรุทรงยอดทั้งแปดทิศตั้งเรียงรายรอบวัด เดิมภายในประดิษฐานพระพุทธรูปทรงเครื่องปางมารวิชัย และยังคงมีร่องรอยภาพจิตรกรรมฝาผนังหลงเหลือให้เห็นอยู่เล็กน้อย บรรยากาศที่สงบเงียบช่วยให้เราสัมผัสเรื่องราวในอดีตได้อย่างลึกซึ้ง ระหว่างทางจะเห็นฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่เคยมีถึง 120 องค์ตั้งเรียงรายตลอดระเบียงคด ปัจจุบันเหลือเพียงเศียรสมบูรณ์อยู่สององค์ แต่ก็เป็นจุดที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวหยุดมองด้วยความทึ่งในฝีมือช่างสมัยโบราณ
ทางด้านทิศตะวันออกนอกระเบียงคดเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถ แม้ปัจจุบันจะเหลือเพียงฐานเสาและรอยเสมา แต่ซากพระประธานปางสมาธิที่ยังคงอยู่ก็มากพอจะบอกเล่าถึงความรุ่งเรืองในอดีตได้อย่างงดงาม ตั้งแต่ประวัติการสร้างในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองเมื่อปี พ.ศ. 2173 บนพื้นที่ที่เคยเป็นนิวาสสถานของพระราชชนนี จนถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา วัดไชยวัฒนารามจึงเป็นมากกว่าสิ่งปลูกสร้าง แต่คือสถานที่บันทึกเรื่องราวสำคัญหลายบทของราชอาณาจักรอยุธยา ได้เดินชมวัดไชยวัฒนารามในปัจจุบันยังคงให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ไม่แพ้ในอดีต เพราะการบูรณะอย่างพิถีพิถันของกรมศิลปากรทำให้เค้ารางความงามดั้งเดิมยังคงอยู่

มาต่อที่วัดพระราม ตั้งอยู่ไม่ไกลจากพระราชวังหลวง วัดแห่งนี้เชื่อมโยงกับเรื่องราวของพระเจ้าอู่ทองและสมเด็จพระราเมศวร ก่อนจะมีการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยพระเจ้าบรมโกศ ทำให้วัดพระรามกลายเป็นแลนด์มาร์กสำคัญที่สะท้อนความรุ่งเรืองของอาณาจักร เมื่อเดินเข้าสู่เขตวัด สิ่งแรกที่สะดุดตาคือปรางค์ประธานขนาดใหญ่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก โครงสร้างแบบอยุธยาตอนต้นยังสมบูรณ์ให้เห็น ทั้งปรางค์บริวารสองข้าง เจดีย์ประจำมุม และพระวิหาร–พระอุโบสถที่เรียงตัวตามผังโบราณ รอบบริเวณยังเต็มไปด้วยเจดีย์ทรงระฆังและทรงปราสาทหลากรูปแบบ บอกเล่าการต่อเติมและบูรณะหลายยุคสมัย

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจันทรเกษม หรือวังหน้า เป็นอีกจุดเที่ยวในอยุธยาที่เดินเข้าไปแล้วรู้สึกเหมือนย้อนเวลา ตัววังตั้งอยู่ริมแม่น้ำป่าสัก ใกล้ตลาดหัวรอ และสร้างขึ้นราว พ.ศ. 2120 เพื่อเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก่อนจะใช้เป็นที่ประทับของพระยุพราชและกษัตริย์หลายพระองค์ต่อมาวังเคยถูกเผาทำลายครั้งใหญ่เมื่อคราวเสียกรุง พ.ศ. 2310 ก่อนรัชกาลที่ 4 จะโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะพระที่นั่งพิมานรัตยาและพลับพลาจตุรมุข พร้อมพระราชทานชื่อ “พระราชวังจันทรเกษม” และในสมัยรัชกาลที่ 5 วังถูกใช้เป็นที่ทำการมณฑลกรุงเก่า ก่อนกรมศิลปากรจะเข้าดูแลและจัดเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจนถึงปัจจุบัน

เดินชมวังจะพบกำแพงและประตูวัง 4 ด้าน ก่อด้วยอิฐมีใบเสมาให้บรรยากาศวังหลวงเก่าแก่, พลับพลาจตุรมุข อาคารไม้สวยใกล้ประตูทิศตะวันออก เดิมเป็นท้องพระโรงและที่ประทับ ปัจจุบันจัดแสดงเครื่องใช้ส่วนพระองค์, พระที่นั่งพิมานรัตยา แสดงเทวรูปหิน พระพุทธรูปนาคปรก พระสำริด และงานไม้แกะสลัก, พระที่นั่งพิสัยศัลลักษณ์ หรือหอส่องกล้อง อาคารสูง 4 ชั้นสำหรับทอดพระเนตรดวงดาว และ ตึกที่ทำการภาค จัดนิทรรศการถาวร 5 เรื่อง ตั้งแต่ศิลปะอยุธยา เครื่องปั้นดินเผา อาวุธโบราณ ศิลปวัตถุพุทธบูชา และวิถีชีวิตริมน้ำของชาวกรุงเก่า

นอกจากโบราณสถานทั้ง 3 แห่งที่ประดับประดาไฟอย่างงดงามยังมีอีกหลายจุดหมายที่น่าไปชม การได้มาเที่ยวยามค่ำคืนก็เป็นอีกประสบการณ์ที่งดงาม ชวนให้เดินเพลินๆ โดยเปิดให้ประชาชนเข้าชมตั้งแต่เวลา 16.30 น. – 21.30 น. ทุกวันศุกร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2569 นอกจากนี้ที่วัดไชยวัฒนาราม ยังมีกิจกรรมการแสดงทางวัฒนธรรม อาทิ การละเล่นไทยโบราณ การลอยประทีป ตลาดโบราณนานาชาติ การแสดงโขน การประกวดแมวไทย

การจัดงานจะแบ่งเป็นรอบ วันที่ 26 ธันวาคม 2568 – วันที่ 4 มกราคม 2569 เป็นเวลา 10 วันต่อเนื่อง และวันที่ 9 มกราคม – 1 กุมภาพันธ์ 2569 ทุกวันศุกร์ – อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 16.30 น. – 21.30 น.ติดตามรายละเอียดกิจกรรมในแต่ละวันและสถานที่ได้ที่ Facebook:อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา Ayutthaya Historical Park



ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กรมศิลปากร วางไทม์ไลน์ 90 วัน จัดทำแบบก่อสร้างพระเมรุมาศ 'สมเด็จพระพันปีหลวง'
"รมว.วัฒนธรรม" สำรวจราชรถ-ราชยาน เตรียมขอฤกษ์บวงสรวงเริ่มงานบูรณะ "กรมศิลปากร" วางไทม์ไลน์ 90 วัน ร่างแบบพระเมรุมาศ"สมเด็จพระพันปีหลวง"

