
ท่ามกลางความท้าทายด้านความมั่นคงอาหารของโลก การพัฒนาโปรตีนทางเลือก กลายเป็นอีกความท้าทายในอุตสาหกรรมอาหาร I-Sec Technology จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นทางออกใหม่ของอุตสาหกรรมอาหารไทย นวัตกรรมนี้เกิดจากความร่วมมือของมหาวิทยาลัยนเรศวรและบริษัท ไทย เอนโท ฟู้ด จำกัด ภายใต้การสนับสนุนจาก การประชุมคณะกรรมการนโยบายและอำนวยการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ (นพช.) โดยตั้งเป้ายกระดับจิ้งหรีดและชิ้นส่วนไก่เหลือใช้ให้กลายเป็น “Super Protein” ที่ได้มาตรฐานสากล และสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจ BCG ทั้งระบบยังนับเป็นเทคโนโลยีแยกโปรตีนจากจิ้งหรีดและไก่แบบอัตโนมัติครบวงจรแห่งแรกของโลก
เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือผลงานวิจัยของ รศ.ดร.ขนิษฐา รุตรัตนมงคลมหาวิทยาลัยนเรศวร หนึ่งในนักวิจัยในโครงการ RAN Top 100 ของเครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย (RUN Office) ที่ได้คัดเลือกนักวิจัยจาก 8 มหาวิทยาลัยที่มีศักยภาพในการพานวัตกรรมไทยสู่เชิงพาณิชย์ มุ่งยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทยให้แข่งขันได้ในเวทีโลก พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการที่ต้องการนำนวัตกรรมไปพัฒนาสินค้าและสร้างมูลค่าเพิ่มในธุรกิจของตนเอง

รศ.ดร.ขนิษฐา รุตรัตนมงคล มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวว่า ทีมวิจัยเลือกพัฒนาโปรตีนทางเลือกจากแมลง เพราะประเทศไทยมีฟาร์มเลี้ยงแมลงจำนวนมากกว่า 10,000 ฟาร์ม กระจายอยู่ทุกภูมิภาค เพราะมีสภาพอากาศที่เหมาะกับการเลี้ยง จึงเห็นโอกาสในการต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ แมลงที่ใช้คือ แมงสะดิ้ง หรือจิ้งหรีดสายพันธุ์ Acheta domesticus ซึ่งเป็นไม่กี่สายพันธุ์ที่ยุโรปอนุญาตให้บริโภคได้อย่างถูกต้อง ทำให้เหมาะจะเป็นวัตถุดิบหลักในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์โปรตีนรูปแบบใหม่ ทีมวิจัยจึงยื่นขอทุนจากภาครัฐ พร้อมตั้งเป้าชัดเจนว่าจะใช้ Deep Tech ในการแปรรูปแมลงชนิดนี้ให้กลายเป็นวัตถุดิบอาหารที่สามารถใช้ได้จริงในอุตสาหกรรมอาหาร
รศ.ดร.ขนิษฐา กล่าวต่อว่าได้ใช้ เทคโนโลยีที่วิจัยพัฒนาขึ้นคือ I-Sec Technology ในกระบวนการผลิตโปรตีนจากแมงสะดิ้ง เทคโนโลยีนี้เป็นระบบแยกส่วนอัตโนมัติที่ควบคุมอุณหภูมิ อัตราการป้อน และค่าการทำงานต่างๆ แบบ Real-time ช่วยลดความผิดพลาดและเพิ่มความสม่ำเสมอของผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังใช้กระบวนการอุณหภูมิต่ำและออกซิเจนต่ำเพื่อรักษาคุณค่าทางโภชนาการ ไม่ใช้สารเคมี ประหยัดพลังงาน ลดเวลาในการผลิต และใช้วัตถุดิบได้อย่างคุ้มค่าสูงสุด ลดของเสียสู่ศูนย์ สอดคล้องกับแนวคิดเทคโนโลยีสีเขียว

สำหรับเทคโนโลยี I-Sec Technology ทำให้สามารถแยกส่วนองค์ประกอบของแมงสะดิ้งได้อย่างละเอียด จนได้โปรตีนเข้มข้นประมาณ 70–75% ผ่านกระบวนการสกัดแบบธรรมชาติ 100% ไม่มีการใช้สารเคมีหรือเอนไซม์ ผลลัพธ์ที่ได้มีสีอ่อน กลิ่นและรสเป็นกลาง เหมาะสำหรับนำไปต่อยอดในผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ เช่น เบเกอรี่ เครื่องดื่ม หรืออาหารแปรรูป เพื่อช่วยลดอุปสรรคด้านรสชาติและการยอมรับของผู้บริโภค นอกจากนี้ โปรตีนที่สกัดได้ยังอุดมด้วยแร่ธาตุและสารอาหารสำคัญ เช่น ธาตุเหล็ก ซิงค์ ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม วิตามินบี รวมถึงพรีไบโอติกที่ดีต่อระบบลำไส้ และไฟเบอร์ประเภทไคติน ทำให้เป็นวัตถุดิบโปรตีนที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและเหมาะกับการใช้งานในอุตสาหกรรมอาหารยุคใหม่
“หากตลาดโปรตีนจากแมลงเติบโตมากขึ้น ก็จะเป็นอีกโอกาสสำคัญในการส่งเสริมและเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรไทย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังมีความท้าทายที่ต้องจัดการ โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพวัตถุดิบจากฟาร์มที่ไม่สม่ำเสมอ แต่ละฟาร์มมีระดับการปนเปื้อนของแบคทีเรียต่างกัน ทำให้ต้องกำหนดมาตรฐานชัดเจนว่า ฟาร์มที่เข้าร่วมต้องมีใบรับรองจากกรมปศุสัตว์ และลูกค้าต่างประเทศยังให้ความสำคัญอย่างมากกับความปลอดภัยของวัตถุดิบ จึงมักเข้ามาตรวจสอบตั้งแต่ต้นน้ำ ตั้งแต่กระบวนการเลี้ยงจนถึงชนิดอาหารที่ใช้ เกษตรกรที่ต้องการเข้าร่วมระบบจึงจำเป็นต้องลงทุนปรับปรุงฟาร์มให้ผ่านมาตรฐานเหล่านี้ แม้จะมีความท้าทาย แต่ตลาดยุโรปกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว แม้ว่าในช่วงแรกอาจเติบโตช้าก็ตาม” รศ.ดร.ขนิษฐา กล่าว

รศ.ดร.ขนิษฐา กล่าวต่อว่า เมื่อเทคโนโลยี I-Sec พัฒนาจนได้ผลดีในแมลง ทีมวิจัยจึงขยายการใช้งานไปสู่การสกัดโปรตีนจากวัตถุดิบอื่นที่ไทยมีศักยภาพสูง เช่น ไก่ ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกไก่รายใหญ่ของโลก และมีชิ้นส่วนเหลือใช้จากโรงงานจำนวนมาก I-Sec Technology สามารถนำชิ้นส่วนที่ไม่ใช่กระดูกมาแยกสกัดโปรตีนได้ จนได้โปรตีนไก่เข้มข้นสูงถึงประมาณ 88% ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่นิยมโปรตีนไก่ เพราะก่อให้เกิดอาการแพ้น้อยกว่าโปรตีนชนิดอื่น ผู้ที่แพ้โปรตีนนมก็สามารถบริโภคได้ อีกทั้งกระบวนการสกัดยังช่วยลดปัญหากลิ่นและการเน่าเสีย ทำให้ได้โปรตีนไก่ที่มีคุณภาพสูงและปลอดภัย
ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์หลักสองชนิด คือ Sixtein (ผงโปรตีนจิ้งหรีด 72%) และ Chixtein (ผงโปรตีนไก่ 80%) ทั้งสองผลิตภัณฑ์มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และได้รับการรับรองมาตรฐานสากล เช่น GMP, GHP, HACCP รวมถึงกำลังดำเนินการขอ FSSC22000 และ EFSA การต่อยอดงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ประสบความสำเร็จด้วยการสนับสนุนจาก บพข. ทำให้สามารถผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้ถึง 1,200 ตันต่อปี และยังขยายกำลังการผลิตได้มากกว่า 10 เท่า ปักหมุดตลาดเป้าหมาย คือพันธมิตร B2B ทั่วโลก โดยเฉพาะผู้ผลิตอาหารฟังก์ชัน อาหารเสริม กลุ่ม Sports Nutrition และผู้ต้องการวัตถุดิบโปรตีนสะอาดจากธรรมชาติ ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง คาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 1.12–2.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030 และสร้างงานกว่า 10,000 ตำแหน่ง
ในมิติผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีนี้ช่วยเพิ่มความมั่นคงทางอาหาร สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกร ลด Carbon Footprint และสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน นอกจากนี้ I-Sec Technology ยังมีความได้เปรียบด้านการแข่งขันด้วยโปรตีนที่เข้มข้นกว่า ลดต้นทุนการผลิตได้ถึง 30% มี Carbon Footprint ต่ำ และมีกำลังการผลิตสูงการถ่ายทอดความรู้และการใช้ประโยชน์จาก I-Sec Technology จึงเป็นตัวอย่างความสำเร็จของการบูรณาการระหว่างรัฐ มหาวิทยาลัย และภาคเอกชน ในการพัฒนานวัตกรรมที่ยั่งยืน พร้อมผลักดันให้ไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีโปรตีนทางเลือกของโลก และเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันตามแนวทาง SDGs

ด้าน รศ.ดร.ชาลีดา บรมพิชัยชาติกุล ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย (RUN Office) จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า นับเป็นภารกิจสำคัญในการผลักดัน RAN Top 100 กลุ่มอาจารย์และนักวิจัยด้านอาหารที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเชิงลึก ในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอาหารสู่ภาคอุตสาหกรรม โดยจะมีนักวิจัยจาก 6 กลุ่มสาขาหลัก ได้แก่ 1.การแปรรูปอาหารขั้นสูง เทคโนโลยีแปรรูปยุคใหม่ที่ช่วยรักษาคุณภาพ ยืดอายุ และสร้างคุณสมบัติเฉพาะของอาหาร 2.อาหารฟังก์ชันและส่วนประกอบอาหาร การผลิตโปรไบโอติก พรีไบโอติก และสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ
3.อาหารเฉพาะบุคคล การออกแบบอาหารตามความต้องการเฉพาะ เช่น ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ นักกีฬา หรือวัยทำงาน 4.บรรจุภัณฑ์อาหารฟังก์ชัน บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะที่ช่วยรักษาคุณภาพอาหารและแสดงสัญญาณบ่งชี้ความสด 5.สื่อสร้างสรรค์เพิ่มมูลค่าอาหาร การออกแบบอาหารและการใช้ Soft Power ด้านอาหาร 6. โปรตีนทางเลือก งานวิจัยด้านแหล่งโปรตีนใหม่ การพัฒนาให้ปลอดภัย และการขยายสเกลสู่ระดับอุตสาหกรรม ขณะเดียวกัน ยังมีงานวิจัยอีกจำนวนมากที่พร้อมต่อยอดเชิงพาณิชย์ เช่น การสกัดสารสำคัญจากผักพื้นบ้านและสมุนไพรไทย การแปรรูปผลไม้เหลือทิ้งอย่างเปลือกสับปะรดเป็นหนังวีแกน รวมถึงการเพิ่มมูลค่าให้ผลไม้ไทยอย่างมะพร้าว สับปะรด และลำไย เพื่อพัฒนาเป็นเครื่องดื่มหรือวัตถุดิบระดับพรีเมียม ซึ่งทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้จริงก็ต่อเมื่อมีผู้ประกอบการที่พร้อมร่วมลงทุนและผลักดันสู่ตลาด
รศ.ดร.ชาลีดา กล่าวถึงเป้าหมายปีหน้าของ RAN Office มี 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.พัฒนานักวิจัยด้านอาหาร (Food Talent) มุ่งยกระดับนักวิจัยให้เข้าใจทั้งงานวิทยาศาสตร์และมุมมองธุรกิจ เพราะหลายเทคโนโลยีมีต้นทุนสูง หากผู้ประกอบการไม่สามารถลงทุนได้ นักวิจัยต้องออกแบบโซลูชันที่เหมาะกับงบประมาณที่แตกต่างกัน ปีหน้าจะพัฒนาทักษะนี้อย่างจริงจัง 2.ผลักดันงานวิจัยสู่ผู้ประกอบการ เป้าหมายคือทำให้งานวิจัยใช้ได้จริง นักวิจัยต้องเข้าใจปัญหาและข้อจำกัดของธุรกิจ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่ต่อยอดได้ทั้งในระดับ SME และอุตสาหกรรมใหญ่ ไม่ซับซ้อนและไม่เพิ่มภาระเกินจำเป็น

3. สร้าง Global Connection เดินหน้าความร่วมมือกับต่างประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และสวีเดน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ เครื่องมือ และเทคโนโลยีใหม่ เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงตลาดและนวัตกรรมระดับสากล 4.พัฒนา RAN Innospace และระบบ Visibility ปรับระบบคลัสเตอร์งานวิจัยให้ชัดเจน ทำให้ RAN เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อมองเห็นโจทย์จริงของผู้ประกอบการ และตอบสนองได้แม่นยำยิ่งขึ้น เมื่อมีฐานข้อมูลชัดเจน เราจะตั้ง KPI ด้านผลลัพธ์ เช่น ช่วยให้รายได้หรือศักยภาพผู้ประกอบการเติบโตเพิ่ม 10–20% ในแต่ละเซกเตอร์ และปีหน้าจะเป็นปีของการ ต่อยอดต่อเนื่อง เพื่อทำให้ระบบสมบูรณ์ขึ้น และสร้าง Success Case ที่จับต้องได้ ให้ผู้อื่นนำไปใช้ต่อยอดได้จริง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปตท.ร่วมเพิ่มทุนบริษัทพัฒนาเทคโนโลยีผลิตโปรตีนคุณภาพสูงจากแมลง
ปตท.ร่วมเพิ่มทุนบริษัท Nutrition Technologies สัญชาติสิงคโปร์ ขยายความร่วมมือต่างประเทศ ระดมทุน 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ พัฒนาเทคโนโลยีผลิตโปรตีนคุณภาพสูงจากแมลง

