‘ก้าวไกล’ส่อถอย! ‘ปิยบุตร’ชี้‘เก้าอี้ปธ.’แค่จัดการประชุม/สภาฯเปิด3ก.ค.

รัฐสภา ๐ โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค.เป็นต้นไป สภาพร้อมแล้ว เตรียมลิฟต์ 18 ตัว ในหลวงเสด็จฯ ทรงประกอบรัฐพิธีเปิดสมัยประชุม  "ภูมิธรรม" เชื่อ 28 มิ.ย.ได้ข้อยุติเก้าอี้ประธานสภาฯ กับก้าวไกล ด้าน "ปิยบุตร" ส่งสัญญาณถอย! ตัวประธานสภาฯ ทำหน้าที่เพียงจัดวาระ จัดการประชุมสภาเท่านั้น

     เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2566 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ.2566  ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า 

     โดยที่ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ.2566 แล้ว และตามความในมาตรา 121 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กำหนดให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาภายในสิบห้าวันนับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อันเป็นการเลือกตั้งทั่วไป โดยให้ถือเป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง

     อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 121 มาตรา 122 และมาตรา 175 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2566 เป็นต้นไป

     รายงานข่าวจากสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแจ้งว่า ขณะนี้สำนักงานได้เตรียมความพร้อมไว้ครบทุกอย่างแล้ว สำหรับการประกอบพิธีเปิดสมัยประชุมรัฐสภา โดยมีลิฟต์ 18 ตัว รองรับสมาชิกที่เข้าร่วมในพิธี รวมทั้งถนนที่ใช้เป็นเส้นทางเสด็จฯ ภายในอาคารรัฐสภา และลิฟต์ส่วนพระองค์ ก็เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน

     โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  จะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบรัฐพิธีเปิดสมัยประชุม ณ โถงพิธี ชั้น 11 อาคารรัฐสภา ในเวลา 17.00 น. โดยมีสมาชิกและบุคคลสำคัญ อาทิ คณะทูตานุทูตจากประเทศต่างๆ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ประธานศาลฎีกา ประธานองค์กรอิสระ ส.ส. ส.ว. รวม 936 คน ที่จะเข้าร่วมรัฐพิธีในครั้งนี้

     นอกจากนั้น จะมีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรก เพื่อเลือกประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯทั้ง 2 คน ในวันที่ 4 ก.ค. เริ่มตั้งแต่เวลา 09.30 น. โดยมี พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อายุ 89 ปี ซึ่งมีอาวุโสสูงสุดในสภา ทำหน้าที่ประธานสภาฯ ชั่วคราว

     ส่วนกรณีที่เลือกวันที่ 4 ก.ค. เพื่อเลือกประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ นั้น ทางสำนักงานเลขาฯ ได้สอบถาม ส.ส.ที่มารายงานตัว ส่วนใหญ่เห็นว่า เมื่อมีพิธีเปิดประชุมรัฐสภาในวันที่ 3 ก.ค.แล้ว จึงอยากให้เปิดประชุมสภานัดแรกในวันที่ 4 ก.ค.เลย เพื่อจะได้ไม่เสียเวลาเดินทาง เนื่องจาก ส.ส.บางคนอยู่ต่างจังหวัด

     นางพรพิศ เพชรเจริญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ว่า ในส่วนของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้มีการเตรียมการล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว โดยมีคณะกรรมการเตรียมความพร้อมในการเปิดประชุมรัฐสภา ทั้งสถานที่ การรักษาความปลอดภัย การพยาบาล และการจราจร รวมถึงการประชาสัมพันธ์ เนื่องจากมีบุคคลสำคัญต่างๆ มาร่วมพิธีจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้กำลังรอหมายกำหนดการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ประสานงานไปยังสำนักพระราชวัง ว่าหมายกำหนดการจะลงมาเมื่อไหร่ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้แจ้งไปยังบรรดา ส.ส.เป็นการภายในว่าจะมีการพิธีการเปิดประชุมรัฐสภา

ประชุมสภาครั้งแรก 4 ก.ค.

     เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าในวันที่ 4 ก.ค. เป็นการเปิดประชุมนัดแรกเพื่อเลือกประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ นางพรพิศตอบว่า เนื่องจาก ณ เวลานี้มีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมออกมาแล้ว ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค.เป็นต้นไป ซึ่งตามรัฐธรรมนูญจะต้องมีการเรียกประชุมสภาเป็นครั้งแรกภายใน 10 วัน ซึ่งในส่วนนี้สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้ประสานกับทุกพรรคการเมืองว่าเมื่อมีพิธีการเปิดประชุมรัฐสภา ในวันที่ 3 ก.ค.แล้ว

     ดังนั้น โอกาสที่จะประชุมสภาครั้งแรกในวันที่ 4 ก.ค. เป็นไปได้หรือไม่ ซึ่งมีหลายพรรคที่ตอบกลับมาว่าพร้อมที่จะประชุมวันที่ 4 ก.ค. รอเพียง 2-3 พรรค ในการตอบกลับมาว่ารอคำตอบว่าจะพร้อมมาประชุมในวันที่ 4 ก.ค. หรือไม่ แต่แนวโน้มส่วนใหญ่เห็นชอบ ให้มีการประชุมสภานัดแรก เพื่อเลือกประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ ทั้ง 2 คน ในวันที่ 4 ก.ค. เวลา 09.30 น. และทันทีที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน ทางสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรก็จะทำหนังสือเชิญ ส.ส.ประชุม ซึ่งจะต้องแจ้งก่อนล่วงหน้า 3 วัน ตามข้อบังคับการประชุม

     นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงความชัดเจนเกี่ยวกับตำแหน่งประธานสภาฯว่า แล้วแต่ผลการประชุม กก.บห. และที่ประชุม ส.ส.ว่าจะมีความเห็นอย่างไร ซึ่งตนเชื่อว่าการประชุมน่าจะได้ข้อยุติที่ไปคุยกับพรรคก้าวไกล ในวันที่ 28 มิ.ย. ที่ได้นัดหมายพูดคุยกันเรื่องนี้ที่พรรคเพื่อไทย และหลังจากนั้นวันที่ 29 มิ.ย. หัวหน้าพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลทั้ง 8 พรรค จะมีการประชุมกันที่พรรคก้าวไกล

     ผู้สื่อข่าวถามว่า วันที่ 28 มิ.ย. จะได้ข้อสรุปกับพรรคก้าวไกลเลยหรือไม่ นายภูมิธรรมตอบว่า ขึ้นอยู่กับการหารือ เชื่อว่าน่าจะเป็นทิศทางที่อำนวยประโยชน์ต่อการเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล

     ถามถึงกระแสข่าวพรรคพลังประชารัฐ เดิมจะเสนอนายสุชาติ ตันเจริญ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย เป็นประธานสภาฯ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ชี้แจงว่า ยังไม่ได้คุยกับนายสุชาติ แต่ไม่เชื่อว่าจะมีความเป็นไปได้ เพราะอยู่กันคนละพรรค เมื่อเจอนายสุชาติ จะสอบถามเรื่องนี้ให้ชัดเจน

     เมื่อถามว่า ตอนนี้เหมือนพรรคร่วมรัฐบาลเดิมมีแนวคิดส่งคนของซีกเขามาแข่งประธานสภาฯ มองอย่างไร นายภูมิธรรมกล่าวว่า เขามีสิทธิเสนอคนมาเป็นประธานสภาฯ แต่เท่าที่ติดตามข่าวมีแต่ความเคลื่อนไหวของพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ ยังไม่เห็นท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลเดิมอื่นๆ แต่ไม่กังวลว่าจะมีปัญหาอะไร เพราะแม้พรรคร่วมรัฐบาลเดิมรวมตัวกันก็มีเสียงไม่เกินกว่า 180 เสียง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้ตำแหน่งประธานสภาฯ ซึ่งตนคิดว่าตำแหน่งดังกล่าวจะอยู่กับซีก 8 พรรคที่ร่วมตั้งรัฐบาลอยู่ในขณะนี้

     ด้านนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และอดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์ว่า จุดยืนที่ผ่านมายืนยันมาตลอดว่าตำแหน่งประธานสภาฯ จะต้องเป็นของพรรคที่มี ส.ส.มากเป็นอันดับ 1 แต่ก็สุดแล้วแต่ว่าทั้ง 2 พรรคจะตกลงกันอย่างไร การแสดงความคิดเห็นในเวลานี้อาจจะกระทบกระทั่งกับการเจรจาของทั้งสองพรรคได้

'ปิยบุตร' ส่งสัญญาณถอย

     เมื่อถามต่อว่า หากพรรคก้าวไกลไม่ได้ตำแหน่งประธานสภาฯ ก็อาจจะทำให้การเสนอกฎหมายมีปัญหาใช่หรือไม่ นายปิยบุตรกล่าวว่า ตามข้อบังคับตำแหน่งประธานสภาฯ เขียนไว้ว่าจะต้องมีความเป็นกลาง และเชื่อว่าพรรคจะคัดสรรเช่นนั้น ส่วนที่มีข่าวว่าพรรคก้าวไกลเตรียมจะเสนอกฎหมาย 40 ฉบับนั้น ขึ้นอยู่กับฉันทามติของสภาผู้แทนราษฎร ไม่ได้เกี่ยวกับตัวประธานสภาฯ เพราะตำแหน่งนี้ทำหน้าที่เพียงจัดวาระ จัดการประชุมเท่านั้น

     ถามอีกว่า พรรคก้าวไกลอาจมีความรู้ความสามารถ แต่ความเก๋าเกมในสภายังไม่ได้ ดังนั้นจึงยังไม่เหมาะสมที่จะได้รับตำแหน่งประธานสภาฯ นายปิยบุตร กล่าวว่า การเมืองถึงเวลายุคใหม่ ก็ไม่แน่เสมอไป ถ้าประเมินจากอายุว่าคนอายุน้อยจะไม่เก๋า คนอายุมากจะเก๋า หรือประเมินจากความรู้ความสามารถ ความเฉียบแหลมจากการศึกษาข้อบังคับ การทันเกมการประชุมต่างๆ ส่วนตัวคิดว่าตัวอายุไม่ใช่ปัจจัยในการชี้วัด เพราะหากเป็นเช่นนั้น รัฐธรรมนูญต้องกำหนดไปเลยว่า ส.ส.สมัยแรก สมัยสอง  ห้ามเป็น และอาจกำหนดว่าคนเป็นประธานสภาฯ ต้องมีอายุมาก

     ผู้สื่อข่าวถามกรณีที่มีการเตรียมมวลชนมากดดันในการโหวตเลือกประธานสภาฯ และนายกรัฐมนตรี ถือเป็นความกดดันทั้งในและนอกสภาหรือไม่ นายปิยบุตรกล่าวว่า ไม่ทราบว่ามีการเตรียมมวลชนอย่างไร เราต้องยืนพื้นตามรัฐธรรมนูญ คือรับรองเสรีภาพการแสดงออกการชุมนุมโดยสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ และการออกแบบสถาบันการเมืองคือ นำเจตจำนงของประชาชนที่อยู่ภายนอกมาทำให้เกิดผล แต่ถ้าสถาบันการเมืองไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้โดยเฉพาะที่เพิ่งเลือกตั้งเสร็จแล้วมีการขัดขวางเจตนารมของประชาชน ก็เป็นธรรมดาที่ประชาชนจะเห็นความผิดปกติ

     เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่เตรียมจะโดดเดี่ยวพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน  นายปิยบุตรกล่าวว่า ได้ยินเช่นนี้ตั้งแต่หาเสียง และนับตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ถึงก้าวไกล เห็นว่าพร้อมทำหน้าที่ทั้งสองแบบ แต่ในรอบนี้เขาตั้งใจจะเป็นรัฐบาลและนายกฯ และประชาชนก็ให้ความไว้วางใจด้วย จึงคิดว่าแม้จะมีความคิดในกลุ่มนักการเมืองและกลุ่มการเมืองที่ต้องการโดดเดี่ยวพรรคก้าวไกล แต่ตนเชื่อว่าพรรคจะไม่มีวันโดดเดี่ยว เพราะคะแนนเสียงที่ประชาชนให้มาจำนวนมาก และยังมีความพร้อมที่จะเป็นรัฐบาล.

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กฤษฎาฉีกหน้าพิชัย ไม่ให้เกียรติร่วมงานไม่ได้ ‘ทักษิณ’โผล่โคราช25พ.ค.

“เศรษฐา” ทัวร์ ประเดิมดูงานโครงการพระราชดำริ ชี้รัฐบาลให้ความสำคัญ ก่อนลุยตรวจสนามบินหัวหิน สั่งเร่งขยายให้จบก่อนไตรมาส 4 แพลมมีไอเดียเปลี่ยนชื่อเป็น