‘วิโรจน์’ประเดิมแก้ต่างมาตรา112

ขุดหลุมฝังตัวเอง "วิโรจน์" ลั่นถ้าย้อนกลับไป ไม่มีสักแวบนึงที่คิดว่าแก้ ม.112 ผิด เชื่อหาก "25 สส.ปชน." ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่จริง  พร้อมถ่ายทอดวิชาค่ายจินบู๊เจ็ดตัดทอนของสำนักบู๊ตึ๊งให้ ด้าน "เรืองไกร" ยันคดี 44 สส.ต้องฟ้องเป็นกลุ่ม ยกคดีเสียบบัตรแทน-ดิไอคอน สอบรายบุคคลแต่รวมฟ้อง ชี้กันตัวเป็นพยานทำได้ยาก แม้หลักฐานพอ

เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ก่อนการเข้ารับฟังข้อกล่าวหาคดี 44 สส.อดีตพรรคก้าวไกล ที่ร่วมลงชื่อเสนอญัตติแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า ป.ป.ช.มีการนัดตนไว้วันนี้ เวลา 10.30 น. ซึ่ง สส.แต่ละคนก็จะมีการกำหนดนัดวันที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะติดภารกิจหรือไม่ หรืออยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกล ซึ่งต้องยอมรับจริงๆ ว่าการเคลียร์คิวต่างๆ มาตามหนังสือเชิญนั้นค่อนข้างจะต้องใช้พลังงาน เนื่องจากเสียเวลาราชการ แต่ถือว่าเราพยายามที่จะให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช.อย่างดีที่สุด ส่วนบางคนที่เลื่อนไม่ได้จริงๆ ก็ต้องเข้าใจเขาเหมือนกัน

นายวิโรจน์ยังตั้งข้อสังเกตถึงการส่งหนังสือเชิญของ ป.ป.ช.ว่า คนที่อยู่พื้นที่ห่างไกลกลับถูกเรียกให้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาก่อน ขณะที่คนบ้านใกล้ก็ถูกเลือกให้มาทีหลัง และมีหลายคนที่ถูกเรียกให้มาในวันพุธและพฤหัสบดี ซึ่งโดยปกติ ป.ป.ช.ควรรู้อยู่แล้วว่าการเชิญ สส.มาในช่วงเวลาดังกล่าวทั้งที่มีการประชุมสภาและยังอยู่ระหว่างสมัยประชุมสภานั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ป.ป.ช.เรียกมาได้อย่างไร เนื่องจากในระเบียบของ ป.ป.ช.ก็มีระบุเรื่องการออกหมายเชิญอยู่แล้ว จึงต้องตั้งข้อความอีกว่าทำไมไม่อ่านระเบียบที่ตัวเองเขียน

เขาเปิดเผยว่า ในหนังสือเชิญมีเพียงประเด็นเรื่องจริยธรรมอย่างเดียว ซึ่งตนหวังว่าการที่ ป.ป.ช.ดำเนินการเรื่องนี้กับผู้อื่น ผู้ดำเนินการก็ควรมีจริยธรรมเช่นเดียวกัน ขั้นพื้นฐานที่สุดคือการปฏิบัติตามระเบียบที่ตัวเองเขียนมาอย่างเคร่งครัด  ส่วนจะมีการอธิบายกับ ป.ป.ช.อย่างไรบ้างนั้น  นายวิโรจน์ยืนยันว่า ตนพยายามดำเนินการเรื่องนี้ให้มีประสิทธิภาพที่สุด เข้าอกเข้าใจเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.และคณะกรรมการ ป.ป.ช.ด้วย โดยเมื่อตนได้รับหนังสือแล้ว จึงทำหนังสือขอตรวจพยานหลักฐานมาก่อน วันนี้ก็มีความคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการทำหนังสือล่วงหน้าของตนและมาตามนัดนั้น  จะได้รับการอนุญาตให้ตรวจพยานหลักฐานอย่างครบถ้วน

นายวิโรจน์ย้ำว่า เรื่องสำคัญที่สุดคือ ป.ป.ช.กลับทำทุกอย่างให้เหมือนกับการคดีอาญา เพราะกระบวนการนั้นตนเข้าใจว่าน่าจะค่อนข้างคล้ายคลึงกัน รวมถึงมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเรื่องจริยธรรม แต่เหตุใดจึงทำกับผู้ถูกกล่าวหาเหมือนผู้ก่อเหตุอาญาหรืออาชญากร เพราะหากจะทำเช่นนั้น ต้องเอาหลัก ป.วิอาญามาใช้ด้วย ซึ่งผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิ์ในเข้าถึงพยานหลักฐาน ที่สำคัญที่สุด ความเป็นธรรมพื้นฐานคือเรื่องระยะเวลา ที่ ป.ป.ช.เองมักใช้ระยะเวลาไต่สวนคดีต่างๆ เป็นปี แต่ถ้าอยู่ดีๆ มาเร่งรัดภายใน 15 วัน หรือกำหนดว่าต้องเท่านั้นเท่านี้ ก็จะถูกตั้งข้อสังเกตเช่นเดียวกันด้วย   หวังว่าตนจะได้รับความยุติธรรม

สำหรับกรณีมีการเชื่อมโยงการเคลื่อนไหวแก้ไข ม.112 ก่อนหน้านี้ รวมถึงการใช้ตำแหน่งเป็นนายประกันให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมในเรื่องข้างต้น นายวิโรจน์ระบุว่า ต้องขอตรวจพยานหลักฐานที่ใช้ในการกล่าวหาก่อน แต่ยืนยันว่าการเป็น สส.ที่ไปร่วมรับฟังความเห็นของประชาชน ซึ่งเป็นความเห็นแตกต่างกันในประเทศนี้ เป็นสิ่งที่ควรเป็นหน้าที่ของเราด้วยซ้ำ ย้ำว่าทุกอย่างทำโดยเปิดเผย สุจริต ดังนั้นจึงไม่มีความกังวลอะไร

ส่วนเรื่องการประกันตัวก็เป็นสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ ที่ประชาชนมีสิทธิ์จะได้รับการประกันตัวในการต่อสู้คดี และต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา เพียงแต่ สส.เข้าไปใช้อำนาจหน้าที่ของตัวเองเพื่อให้ประชาชนได้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ จึงไม่คิดว่ามีปัญหาอะไร

ส่วนจะใช้เรื่องการประกันตัวต่อสู้ในคดีด้วยหรือไม่ นายวิโรจน์กล่าวว่า ขอดูพยานหลักฐานก่อน จะพูดไปก่อนไม่ได้ โดยที่ยังไม่เห็นพยานหลักฐาน หาก ป.ป.ช.ไม่ให้ดูพยานหลักฐานที่กล่าวหา ตนก็คิดว่าประชาชนและสื่อมวลชนตั้งข้อสังเกตได้ เพราะเราจะชี้แจงข้อเท็จจริงได้อย่างไร ถ้าไม่ให้เราดูพยานหลักฐานหรือเข้าถึงได้เพียงบางส่วน ยืนยันว่าที่ผ่านมาตนและเพื่อน สส.อีก 43 คน ทำทุกอย่างแบบเปิดเผย โปร่งใสทั้งหมด ไม่เคยงุบงิบ  ซึ่งการทำเช่นนี้ก็สะท้อนว่าสุจริตอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า ในข้อกล่าวหามีการระบุหรือไม่ว่าเป็นเหตุการณ์อะไร นายวิโรจน์กล่าวว่า ไม่เลย ใช้แค่คำว่าเรื่องมาตรฐานจริยธรรม จึงยังไม่ทราบรายละเอียด วันนี้บังเอิญว่าคนอื่นอาจจะยังเคลียร์ตารางไม่ได้ ตนจึงพยายามเคลียร์ทั้งหมดเพื่อเข้ามาก่อน

ทั้งนี้ คาดว่ามีการส่งหนังสือเรียกครบทั้ง 44 คนแล้ว แต่ตนเป็นคนแรกที่เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาในวันนี้ ย้ำว่าทุกการกระทำ เปิดเผย โปร่งใส ไม่มีแอบทำ สื่อมวลชนก็เห็นอยู่แล้ว ไม่มีคลิปลับแบบที่ถูกเปิดเผยกันก่อนหน้านี้ ทำอะไรซื่อสัตย์ เป็นธรรม มืออาชีพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ ตามสโลแกนของ ป.ป.ช.อยู่แล้ว ยืนยันว่าถ้าเขากล่าวหาอะไรมา เราก็ชี้แจงตามคำข้อเท็จจริงไป เราไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่เป็นไปตามจริยธรรม

"เราตั้งพรรคขึ้นมา หากพูดถึงการทำงาน ตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล จนถึงประชาชน เราพูดอยู่เสมอว่าเราต้องสร้างพรรคการเมืองของเราให้เป็นสถาบันทางการเมือง สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนให้ได้ ไม่อยากให้องค์กรของเราเกิดการบูชาตัวบุคคล เพราะอะไรก็ตามที่ยึดโยงเช่นนั้นไม่มีความยั่งยืน" นายวิโรจน์กล่าว

ถามว่า หากย้อนกลับไป ยังจะเสนอแก้ไข ม.112 อยู่หรือไม่ นายวิโรจน์กล่าวว่า ตนไม่ได้กระทำการอย่างบุ่มบ่าม แต่ทำตามหน้าที่ในการแก้ไขกฎหมาย ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่รู้สึกว่าถ้าย้อนกลับไปจะต้องเปลี่ยนแปลงอะไร ไม่มีสักแวบนึงที่คิดว่าผิด เพราะเราดูกฎหมายมาก่อน เพราะหากสิ่งที่พวกตนทำนั้นผิด ก็คงมีอาจารย์ระดับที่ได้การยอมรับในระดับสากลหรือประเทศออกมาติติงพวกตนแล้ว ยืนยันว่าพวกตนไม่ได้ดำเนินการตามอำเภอใจ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย

ต่อมานายวิโรจน์ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเข้ารับฟังข้อกล่าวหาว่า การทำหน้าที่ สส. ใช้อำนาจนิติบัญญัติแก้ไขกฎหมาย ม.112 ซึ่งข้อกล่าวหาก็เน้นไปที่การแก้ไขเนื้อหาสาระของกฎหมายเป็นหลัก ดังนั้น ในกรณีนี้ก็ไม่ได้กังวลใจอะไร เพราะการแก้ไขเนื้อหาสาระมีการปรึกษากับนักกฎหมายอยู่แล้ว และเป็นการศึกษาอำนาจนิติบัญญัติโดยชอบ

"สำหรับกรณีของผมคนเดียว มีเรื่องการให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ สำนักข่าว เพราะการที่เราแสดงเหตุผลอย่างเปิดเผยต่อสื่อสาธารณะ เป็นเรื่องที่เรายืนยันเจตนาสุจริตของเรามากกว่า ส่วนการให้สัมภาษณ์ของผมก็ไม่ได้กังวลอะไร เมื่อรับทราบข้อกล่าวหาแล้วผมก็เบาใจ"

เมื่อถามว่า หาก 25 สส.ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จะกระทบต่องานสภาและการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ นายวิโรจน์มองว่า เรื่องการปรับระบบรูปแบบการทำงานทำมาตั้งแต่สมัยพรรคก้าวไกลแล้ว แต่เดิม สส.ของเราบางคนมักจะทำงานแบบฉายเดี่ยวหมื่นลี้ ตอนนี้มาทำงานเป็นทีมแล้ว ก็ต้องถ่ายทอดค่ายกลจินบู๊เจ็ดตัดทอนของสำนักบู๊ตึ๊ง  หมายความว่าหากมีความจำเป็นต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จริง ก็จะมีช่วงรอยต่อ ถ้าเราทำตอนต้นไว้ดี  การไปต่อสุดทางคงไม่ยาก แต่การที่มีใครหายไป อาจทำให้มีการชะงักเล็กน้อย ยืนยันว่าสามารถไปต่อได้แน่นอน

นายวิโรจน์ยังกล่าวถึงการรวบรวมรายชื่อเสนอถอดถอนนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ออกจากตำแหน่งว่า เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญของสมาชิกรัฐสภา ตามมาตรา 236 เรื่องการถูกตรวจสอบให้ออกจากสารบบก็ได้   หากมีเหตุการณ์ที่ประธานขององค์กรที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบทุจริตคอร์รัปชันของข้าราชการแทบทุกคนในประเทศนี้ และการที่มีกรณีคลิปเสียงดังกล่าวเกิดขึ้น จะไม่ให้สงสัยเลยก็ไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งมีการไปพบกับประธานรัฐสภาด้วย จะให้ละเลยคงเป็นไปไม่ได้ ยืนยันว่าทั้งสองเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกัน ต่อให้ไม่มีเรื่อง 43 สส.ก็ต้องดำเนินการ

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ กล่าวถึงกรณีคดี 44 สส.อดีตพรรคก้าวไกล ที่ร่วมลงชื่อเสนอญัตติแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่ง ป.ป.ช.เรียกให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันนี้ว่า ตามหลักการของการเสนอญัตติในสภาผู้แทนราษฎร ต้องมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า 20 คน ดังนั้น เมื่อจะกล่าวหา ก็ต้องกล่าวหารวมกัน และเมื่อจะชี้มูลความคิด ก็ต้องชี้เป็นกลุ่ม เพราะเป็นการกระทำร่วมกันในสภาผู้แทนราษฎร และในรายชื่อแนบท้ายญัตติก็ปรากฏชื่อทั้ง 44 สส.ร่วมลงชื่อเสนอญัตติ ส่วนอีก 8-9 คนในกลุ่มของนายคารม พลพรกลาง อดีต สส.พรรคก้าวไกล ไม่ได้ร่วมลงชื่อด้วย

เขายืนยันว่า ในการเรียกมารับทราบข้อกล่าวหานั้นต้องเรียกมาทั้งกลุ่ม โดยยกตัวอย่างคดีของนางนาที รัชกิจประการ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ที่มีการเสียบบัตรแทนกัน ในกลุ่ม สส.จำนวน 3 คน ซึ่งก็มีการฟ้องร้องรวมกันทั้ง 3 คน หรือเหมือนกรณีที่เราจับคนเล่นการพนัน ก็ต้องฟ้องกันทั้งหมด แม้กระทั่งคดีดิไอคอนเอง ก็ต้องดำเนินคดีรวมกัน โดยการเรียกสอบเป็นรายคน

สำหรับกรณีที่จะมีการกันคนใดคนหนึ่งเป็นพยานนั้น นายเรืองไกรระบุว่า ถ้าพยานหลักฐานเพียงพอ ก็น่าจะทำได้ยาก ทั้งนี้ ขอให้ดำเนินการไปตามครรลองของกฎหมาย ท่านก็มีสิทธิ์ต่อสู้ แต่อย่าลืมว่านี่เป็นข้อหาจริยธรรม ซึ่งใช้คำตัดสินของศาลฎีกาเพียงชั้นเดียว ศาลเดียว และหากมีความผิดจริง ต้องเพิกถอนสิทธิทางการเมืองตลอดไป โดยจะอุทธรณ์ไม่ได้

"เราทำการเมืองกันมา ก็มีความปรารถนาดีด้วยกัน แต่อำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ท่านก็ทำตามอำนาจหน้าที่ของท่าน" นายเรืองไกรทิ้งท้าย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.