แย่งอำนาจกกต.! ดึงสติ‘กคพ.’รับฮั้วสว.คดีพิเศษวิกฤตรออยู่/2บิ๊กตร.ลาซํ้า

จับตา "บอร์ด กคพ." ถกคดีฮั้วเลือก  สว.เป็นคดีพิเศษ 6 มี.ค. หลัง "สำนักงาน กกต." ส่งหนังสือยันเกี่ยวกับ ม.49 เป็นอำนาจ "กกต." ปัดส่งผู้แทนร่วมประชุม กคพ. "2 บิ๊กตำรวจ" ยื่นลาประชุมล่วงหน้า อ้างติดราชการ "ภูมิธรรม" ขอไม่ออกความเห็น "สว." บอก “ดีเอสไอ” อย่าใช้อำนาจเกิน  รธน. "อดีตตุลาการศาล รธน." ชี้ปม "อั้งยี่-ซ่องโจร"  เกิดจากปมฮั้วเลือก สว. ต้องอยู่ในอำนาจ กกต.  เตือนรับเป็นคดีพิเศษอาจมีวิกฤตบางอย่างรออยู่ข้างหน้า "สนธิญา" กลับลำหนุนฮั้ว สว.เป็นคดีพิเศษ

เมื่อวันที่ 5 มี.ค.2568 มีความเคลื่อนไหวกรณีคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) นัดประชุมบอร์ด กคพ. ครั้งที่ 3/2568 ในวันที่ 6 มี.ค.2568 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 10-01 ชั้น 10 อาคาร กระทรวงยุติธรรม มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน กคพ.

หลังจากเมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมา คณะอนุกรรมการกลั่นกรองด้านอาชญากรรมระหว่างประเทศและอาชญากรรมพิเศษ ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่มี ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีดีเอสไอ เป็นประธาน มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า กรณีการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.)  ที่มีกระบวนการหรือพฤติการณ์ที่มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ซึ่งมีพฤติการณ์อันอาจเป็นความผิดตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 และประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นไปตามประกาศ กคพ. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการร้องขอและเสนอให้ กคพ.มีมติให้คดีความผิดทางอาญาใดเป็นคดีพิเศษ พ.ศ.2561 มีความผิดอาญาเกิดขึ้น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209  (อั้งยี่) มาตรา 116 (ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ) มาตรา 77 (1) แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ซึ่งมีลักษณะเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 ววรคหนึ่ง (ก)-(จ) แห่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 รวมถึงมีความจำเป็นที่จะต้องนำเสนอต่อบอร์ด กคพ. เพื่อให้รับเป็นคดีพิเศษทั้ง 2  กรณี

โดยกรณีที่ 1 คือ กรณีการกระทำความผิดทางอาญาอื่นที่เกิดขึ้นจากการอั้งยี่ รวมทั้งการกระทำความผิดที่เป็นการได้มาซึ่ง สว. ตามมาตรา 77 (1) ส่วนกรณีที่ 2 คือ ความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการคดีพิเศษ 

ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในการประชุม กคพ.ครั้งที่ 2  วันที่ 6 มี.ค.นั้น ทาง พล.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสอบสวนคดีอาญา และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ได้แจ้งลาการประชุม ให้เหตุผลติดภารกิจราชการ ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้งคู่ก็ได้ลาการประชุม กคพ.ในครั้งแรกมาแล้ว ด้วยเหตุติดภารกิจราชการและมีอาการเจ็บป่วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการพิจารณารับคดีพิเศษนั้น บอร์ด กคพ.มีทั้งหมด 22 ราย การจะมีมติเห็นชอบรับคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) หรือเป็นคดีความผิดทางอาญาอื่น คณะกรรมการคดีพิเศษต้องมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 หรือ 15 เสียง หรือกึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่

มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา   เลขาธิการคณะกรรมการ​การเลือกตั้ง (กกต.)​ ได้นำหนังสือของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าหารือถึงแนวทางการตอบคำถามที่ดีเอสไอได้ถามสำนักงาน กกต.ใน 2 คำถาม และในหนังสือระบุว่า ขอให้ส่งเลขาธิการ กกต. หรือผู้แทนมาตอบคำถามเกี่ยวกับการตีความข้อกฎหมาย และการดำเนินการตามมาตรา 49 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ​ว่าด้วย กกต. ในการประชุมกับ กคพ. วันที่ 6 มี.ค.

ยันคดีฮั้ว สว.อำนาจ 'กกต.'

โดยที่ประชุม กกต.ได้ให้แนวทางที่จะตอบคำถามใน 2 ประเด็น ตามหนังสือดีเอสไอ เพื่อให้มีความชัดเจนและครบถ้วนมากที่สุด ซึ่งเมื่อได้หารือถึงการตอบคำถามครบถ้วนแล้ว เลขาธิการ กกต.ก็จะส่งหนังสือให้ดีเอสไอถึงการไม่ส่งผู้แทนไปร่วมประชุม เนื่องจากเห็นว่าสำนักงาน กกต.ได้แนวทางคำตอบที่ชัดเจนตามคำถามของดีเอสไอแล้ว การส่งผู้แทนไปร่วมประชุมและตอบคำถาม อาจเป็นการให้คำตอบที่ไม่สมบูรณ์และไม่ครบถ้วนถูกต้อง

"คำตอบเกี่ยวกับมาตรา 49 จะเป็นการยืนยันว่าเป็นอำนาจวินิจฉัยของ กกต. โดยสำนักงาน กกต.เป็นผู้รวบรวมข้อมูลให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ก่อนเสนอที่ประชุม กกต.พิจารณาวินิจฉัย" แหล่งข่าวระบุ

ทั้งนี้ พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.มาตรา 49 บัญญัติว่า  "เมื่อความปรากฏต่อคณะกรรมการว่าหน่วยงานของรัฐหรือพนักงานสอบสวน ได้รับเรื่องการกระทำความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมืองไว้พิจารณา และคณะกรรมการเห็นว่าเป็นการสมควรที่คณะกรรมการจะดำเนินการเองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ให้คณะกรรมการมีหนังสือแจ้งให้หน่วยงานของรัฐหรือพนักงานสอบสวนนั้นโอนเรื่องหรือส่งสำนวนการสอบสวนเกี่ยวกับการกระทำความผิดนั้นมาให้คณะกรรมการเพื่อดำเนินการต่อไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ในกรณีเช่นนี้ให้หน่วยงานของรัฐหรือพนักงานสอบสวนโอนเรื่อง หรือส่งสำนวนการสอบสวนในส่วนที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง มาให้คณะกรรมการภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งดังกล่าว

ขณะที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ปฏิเสธตอบคำถามกรณี กกต.จะไม่ร่วมประชุม กคพ.เพื่อพิจารณาคดีฮั้วเลือก สว.เป็นคดีพิเศษ โดยระบุสั้นๆ ว่า รอให้เกิดขึ้นจริงก่อนค่อยว่ากัน

ถามว่า กกต.จะทำหนังสือชี้แจงตามมาตรา 49 ว่าอำนาจในการตรวจสอบการฮั้วเลือก สว.เป็นของ กกต. ไม่ใช่ดีเอสไอ นายภูมิธรรมกล่าวว่า "ยังไม่เห็นหนังสือชี้แจงดังกล่าว" แล้วเดินขึ้นตึกบัญชาการ 1 ไปทันที

ที่รัฐสภา พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว. ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุม กคพ.พิจารณาคดีฮั้วเลือก สว.ว่า การพิจารณาจะออกมาทางใดเป็นสิทธิ์ของบอร์ด กคพ. ตนไม่ขอก้าวล่วงหรือแสดงความเห็น

"รูปแบบการปกครองของเรามีการถ่วงดุลอำนาจการอย่างเหมาะสม ฝ่ายใดถูกควบคุมโดยใคร อำนาจหน้าที่แค่ไหนก็ทำไปแค่นั้น อย่าทำเกินเลยไปกว่าที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องกำหนด" พล.ต.ต.ฉัตรวรรษกล่าว

ถามว่า ในการอภิปรายวุฒิสภาช่วงท้ายเมื่อวันที่ 4 มี.ค. สรุปว่าดีเอสไอและกระทรวงยุติธรรมเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ตาม ม.49 ของรัฐธรรมนูญรุนแรงไปหรือไม่ พล.ต.ต.ฉัตรวรรษกล่าวว่า เป็นข้อกล่าวหาที่ถูกระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่เรายังไม่กล่าวหาใคร

ซักว่า สว.ระบุจะเปิดอภิปรายตาม ม.153 ด้วย พล.ต.ต.ฉัตรวรรษกล่าวว่า ตนยังไม่ได้กล่าวหาว่าเขาผิดตาม ม.153 ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์และการกระทำในอนาคต แต่เราขอรักษาสิทธิ์และชื่อเสียงของการเป็นวุฒิสภา เพราะมีการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน และเราเกิดความเสียหาย เราก็ต้องตอบโต้บ้างตามที่กระบวนการทางกฎหมายให้อำนาจ

ส่วนนายจรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ผ่าน "ไทยโพสต์" ประเด็นข้อกฎหมายคดีฮั้วเลือก สว.ว่า กฎหมายเปิดช่องให้ดีเอสไอรับคดีอาญาได้ทุกคดี ผ่านมติของ กคพ. แต่ปัญหาอยู่ที่กรณีนี้เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นอำนาจของ กกต. ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.โดยตรง

จรัญเตือน กคพ.วิกฤตรออยู่

 “รัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์ชัดเจนว่า ไม่ต้องการให้ฝ่ายการเมือง ไม่ว่าจะฝ่ายข้างมากหรือฝ่ายข้างน้อยเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการเลือกตั้ง กกต.ได้รับอำนาจให้จัดการเลือกตั้งโดยอิสระ หากไม่มีความเป็นกลาง การแข่งขันทางการเมืองจะไม่เป็นธรรม และอาจกระทบต่อคุณภาพของระบบการเมืองการปกครองของประเทศ ซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดเจน ในมาตรา 49 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. ว่าความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ต้องอยู่ภายใต้การดำเนินการของ กกต. ถ้ามีการจ่ายเงินจ่ายทอง วางระบบฮั้วกัน ถือเป็นความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งต้องอยู่ในอำนาจของ กกต.” นายจรัญกล่าว

อดีตตุลาการศาล รธน.รายนี้ระบุว่า ดีเอสไอไม่สามารถรับทำคดีนี้ได้เอง เพราะเป็นความผิดที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้อยู่ในอำนาจของ กกต. ซึ่งหากมีเรื่องฟอกเงิน ก็ต้องให้ กกต.ตรวจสอบก่อน แล้วจึงส่งเรื่องให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)

ถามถึงกรณีดีเอสไอตั้งข้อหาอั้งยี่-ซ่องโจร อดีตตุลาการศาล รธน.รายนี้กล่าวว่า ข้อหาอั้งยี่-ซ่องโจรเป็นความผิดอาญาตามกฎหมายทั่วไป ซึ่งอาจถูกใช้เป็นเหตุผลในการรับคดีนี้เป็นคดีพิเศษได้ แต่ตนไม่เห็นด้วย เพราะดีเอสไอเป็นหน่วยงานที่ทรงอำนาจมาก มีอำนาจมากกว่าตำรวจ และที่สำคัญดีเอสไออยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของฝ่ายบริหาร ผ่านกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นสายตรงของคณะรัฐมนตรี

"หากบอร์ดคดีพิเศษลงมติรับคดีนี้ เท่ากับเป็นการแย่งอำนาจ กกต. และอาจนำไปสู่การสร้างบรรทัดฐานเปิดช่องให้ฝ่ายการเมืองใช้ DSI แทรกแซงกระบวนการเลือกตั้งในอนาคต ถ้ารับคดีนี้เป็นคดีพิเศษต่อไป จะกลายเป็นบรรทัดฐาน ไม่ใช่แค่เรื่อง สว. แต่รวมถึงการเลือกตั้ง สส.และประชามติ ฝ่ายการเมืองที่กุมอำนาจรัฐอยู่ก็จะใช้ดีเอสไอรับทำคดีเลือกตั้งได้ทุกประเภท” อดีตตุลาการศาล รธน.รายนี้กล่าว

นายจรัญเสนอว่า ดีเอสไอควรให้ กกต.เป็นผู้ดำเนินคดีหลัก และหากมีหลักฐานควรส่งต่อให้ กกต. ไม่ใช่รับทำคดีเอง อยากให้ 2 หน่วยงานหารือกัน กกต.ทำหน้าที่ของตนเอง ส่วนดีเอสไอมีข้อมูลอะไรก็ส่งให้ ไม่ใช่ให้รัฐบาลหรือฝ่ายการเมืองเข้ามาเป็นตัวตั้งตัวตี

"กรรมการบอร์ดคดีพิเศษควรพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะหากลงมติรับคดีนี้เป็นคดีพิเศษเท่ากับหัก กกต. แย่งชิงบทบาท ซึ่งวิกฤตการณ์บางอย่างอาจจะรออยู่เบื้องหน้าก็ได้ ส่วนตัวมั่นใจมติบอร์ดคดีพิเศษมีวิจารณญาณพอจะไม่รับคดีนี้  แต่จะหาทางออกที่เหมาะสม” นายจรัญกล่าว

จับตาทิศทางบอร์ดคดีพิเศษ

นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ว่า ต้องลุ้นมติ กคพ.จะออกเสียงไปทิศทางใด ย่อมจะสะท้อนถึงจุดเริ่มของการแตกหักเชิงอำนาจรัฐบาลได้ชัดเจนส่วนหนึ่ง รวมทั้งจะเป็นสัญญาณในอนาคตรัฐบาลจะเข้มแข็งหรืออ่อนแอ คงต้องเฝ้ารอคำประกาศใหญ่โตเพื่อเล่นงานคดีฮั้ว สว. 138 คน รัฐบาลจะทำให้บรรลุเป้าหมายเสียง 2 ใน 3 หรือตั้งแต่ 15 เสียง เพื่อให้ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่

"มติของ กคพ.ยังแสดงถึงอำนาจรัฐบาลในการบริหารงาน โดยพิจารณาจากการตัดสินใจของกรรมการโดยตำแหน่งที่ยังรับราชการอยู่ ถ้ากรรมการโดยตำแหน่งไม่ไปตามความต้องการของผู้มีอำนาจในรัฐบาลที่มากกว่านายทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม โดยงดออกเสียง หรือยกมือสวนขึ้นมา ย่อมเป็นการส่งสัญญาณแล้วว่าอำนาจของรัฐกำลังจะทยอยหมดลง” นายจตุพรกล่าว

นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการด้านกฎหมาย  เขียนบทความเรื่อง "อำนาจดีเอสไอในคดีฮั้วเลือกตั้ง สว.” ตอนหนึ่งกรณีดีเอสไอจะขอรับคดีฮั้วเลือกตั้ง สว.เป็นคดีพิเศษ โดยอ้างว่า กกต.มีอำนาจเฉพาะความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง เพื่อสอบสวนแต่เฉพาะความผิดฐานอั้งยี่และฟอกเงินว่า ขืนให้แยกได้คดีก็จะเดินไปถึงศาลสองศาล แล้วสองศาลนั้นจะตัดสินแยกกัน ต่างกันได้อย่างไร ในเมื่อมีมูลคดีมาจากการกระทำเดียวกัน คดีที่ทำผิดกระทงเดียวผิดหลายบทอย่างนี้ กฎหมายบอกให้ลงโทษบทที่โทษหนักที่สุด ซึ่งก็หมายความว่าทุกบทต้องอยู่ในคดีเดียวกันอยู่แล้ว ดีเอสไอจะไปแยกสอบสวนอย่างนั้นไม่ได้

"ทางกฎหมายมันทำอย่างนี้ไม่ได้ ถ้ายังเห็นกันว่าคดีนี้มีการกระทำผิดจริง แต่ กกต.อมคดีไว้ในปากเฉยๆ เฝ้าเตะถ่วงอยู่อย่างนั้น เรื่องก็ต้องเลื่อนไปเป็นการตรวจสอบ กกต. คือให้ดีเอสไอตั้งสำนวนเลยว่านคดีนี้มี กกต.อย่างน้อย 1 คน ละเว้นหน้าที่โดยทุจริต จากนั้นก็เอาหลักฐานที่คุยว่ามีอยู่เต็มมือนั้น ใส่ในสำนวนสอบเบื้องต้นให้หมดแล้วส่ง ป.ป.ช.เลยภายใน 30 วันว่ามี กกต.และเจ้าหน้าที่ใดร่วมกระทำผิดบ้าง" นายแก้วสรรกล่าว

ที่รัฐสภา นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น บุรีรัมย์ เดินทางเข้าให้กำลังใจ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. เนื่องจากในคดีฮั้วเลือก สว. น.ส.นันทนาได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ปราศจากการครอบงำของพรรคการเมืองและนักการเมือง ในสถานการณ์นี้จึงอยากให้ น.ส.นันทนาเข้มแข็ง อย่าหวั่นไหว ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง

น.ส.นันทนากล่าวว่า ขณะนี้ประชาชนคงจะรับรู้เรื่องราวการฮั้วเพื่อเข้ามาเป็น สว. รอแต่หน่วยงานดำเนินการ เพื่อให้ประชาชนคลายข้อสงสัยในที่มาของ สว.เทาๆ ส่วนตัวยินดีเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของทุกหน่วยงาน เพราะ สว.เป็นผู้ที่มีอำนาจในการเห็นชอบให้บุคลากรเข้าไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ซึ่งองค์กรอิสระเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติ ชี้ต้นตายปลายเป็น เปลี่ยนประเทศได้ คนจะเข้ามาเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่ง จึงต้องมีที่มาสุจริต โปร่งใส และไม่มีตำหนิ

"หากทุกคนยังสงสัยที่มาของ สว. ก็ไม่อาจจะไปเห็นชอบให้ใครมาดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระได้ จึงขอเรียกร้องให้ สว.ทั้งหลายเข้ามาสู่กระบวนการตรวจสอบทุกคนโดยไม่ละเว้น พิสูจน์ตนเองให้ได้ว่า มีกระบวนการเข้ามาอย่างสุจริต โปร่งใส ยุติธรรม หากพิสูจน์ตนเองได้ เมื่อดำรงตำแหน่งคงไม่มีประชาชนคนไหนตั้งข้อสงสัยแน่นอน และจะเป็นวุฒิสภาที่สง่างาม" น.ส.นันทนากล่าว

ที่กรมสอบสวน​คดี​พิเศษ (ดีเอสไอ)​ นายสนธิญา สวัสดี นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เดินทางนำเอกสาร สว.3 ของ กกต. เพื่อให้รับกรณีการฮั้วเลือก สว.ระดับอำเภอในเขตปทุมวันของกลุ่ม 8 เป็นคดีพิเศษ ที่มีการฮั้วเลือกโดยให้กาบัตรเฉพาะ 2 เบอร์ คือเบอร์ 5 และเบอร์ 10 นอกจากนี้ยังมีการจัดชุมนุม มีคนขึ้นไปพูดบนเวที 3 คน ก่อนวันเลือก สว.ระดับจังหวัดของ กทม.หนึ่งวัน ซึ่งก่อนหน้านี้เคยนำไปมอบให้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบแล้ว แต่ กกต.เรียกตนไปสอบเพียง 2 ครั้ง และตอนนี้ระยะเวลาผ่านมาแล้วกว่า 7 เดือน ยังไม่มีผลสรุปการสอบสวน

"ก่อนหน้านี้ที่เคยไม่เห็นด้วยกับการให้ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ เพราะมองว่าจะมีความขัดแย้งเรื่องการทำงานระหว่าง กกต.และดีเอสไอ แต่ครั้งนี้ผมสนับสนุนให้รับเป็นคดีพิเศษ เพราะคณะอนุกรรมการดีเอสไอได้ลงความเห็นให้รับคดีฮั้ว สว.เป็นคดีพิเศษ และเชื่อว่าบอร์ด กคพ.ที่จะมีการประชุม จะมีมติรับเป็นคดีพิเศษเช่นกัน ซึ่งผมได้นำคำร้องที่เคยยื่นไปแล้วที่ กกต.มาให้ดีเอสไอเพื่อตรวจสอบด้วย รวมถึงให้รับคำร้องของผมไว้ในสำนวนคดีพิเศษ และให้ตรวจสอบคู่ขนานกันไป" นายสนธิญากล่าว

วันเดียวกัน ตัวแทนกลุ่มประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ อาทิ นายณัชปกร นามเมือง เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ, นายชยพล ดโนทัย ไอลอว์, นางจีรนุช เปรมชัยพร เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ นำหลักฐานเข้ายื่น กกต. เพื่อให้ตรวจสอบการเลือก สว.ครั้งที่ผ่านมา หลังพบมีข้อพิรุธหลายอย่าง ตั้งแต่เริ่มสมัคร รวมทั้งตั้งข้อสังเกตว่า สว.ที่ผ่านเข้าสู่รอบระดับประเทศมีการวางแผนและตระเตรียมกันมาก่อน ทั้งใส่เสื้อสีเหลือง เสื้อมีรอยพับ  ใส่เสื้อคลุม เดินทางมารถคันเดียวกัน สิ่งเหล่านี้จะเป็นพยานหลักฐานที่ทำให้ตั้งข้อสงสัยว่ามีความผิดปกติ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.