ศูนย์เอราวัณเปิดตัวเลขธรณีวิปโยค คนกรุงสังเวยแล้ว 17 ราย “ปภ.” บอกความเสียหายขยายถึง 18 จังหวัด อึ้ง! อนุมัติเงินแค่ 200 ล้านช่วยเหลือผู้ประสบภัย “ชัชชาติ” บอกนับถอยหลัง 72 ชั่วโมงที่ต้องเร่งค้นหาผู้เสียชีวิตหลังตึกถล่ม “ทูตจีน” พบอนุทินลั่นพร้อมร่วมมือไทยสอบสวนเต็มที่ “ประจักษ์” ผู้ลงนามสัญญาโผล่บอกตกใจเสียใจ “สตง.” ร่อนเอกสารแจงยิบแต่ไม่แถลงข่าว "คตง." เตรียมถล่มผู้ว่าฯ สตง.เพราะกระทบภาพลักษณ์หนัก “เขตจตุจักร” แจ้งความ 4 คนจีนดอดเข้าพื้นที่ขนเอกสารแล้ว "บิ๊กกรมโยธา" นั่งประธานสอบตึก สตง.ถล่ม ดึงวิศวกร นักวิชาการเสริมทีมเพียบ ประชุมด่วน 31 มี.ค. 7 วันจบ
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม ยังคงมีความต่อเนื่องจากสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มี.ค.ในประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ขนาด 8.2 ความลึก 10 กม. ที่ส่งผลกระทบถึงประเทศไทย โดยศูนย์เอราวัณ สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร รายงานตัวเลขผู้ได้รับผลกระทบด้านชีวิตและร่างกายในพื้นที่กรุงเทพฯ ประกอบด้วย 1.อาคารที่ทำการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และอาคารใกล้เคียงที่อยู่ระหว่างก่อสร้างถล่ม มีผู้บาดเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาล 20 ราย เสียชีวิต 10 ราย 2.เครนก่อสร้างถล่มที่แยกบางโพ มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 4 ราย 3.อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ลิฟต์ขาด มีผู้บาดเจ็บ 3 ราย 4.เครนล้ม ย่านดินแดง มีผู้บาดเจ็บ 4 ราย 5.คอนโดฯ เดอะเบสท์ พระราม 9 มีผู้บาดเจ็บ 1 ราย เสียชีวิต 1 ราย 6.ไซต์งาน รามอินทรา 64 มีผู้เสียชีวิต 1 ราย 7.อาคารเมโทรโพลิส สุขุมวิท 39 มีผู้เสียชีวิต 1 ราย 8.คอนโดฯ วิทยุคอมเพล็กซ์ ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ มีผู้เสียชีวิต 1 ราย 9.คอนโดฯ นิสโมโน บางโพ มีผู้เสียชีวิต 1 ราย 10.คอนโดฯ ไลฟ์วัน ถ.วิทยุเหนือ มีผู้เสียชีวิต 1 ราย รวมมีผู้เสียชีวิต 17 ราย และผู้บาดเจ็บ 32 ราย
ขณะที่นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะเลขานุการกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์อยู่ในการควบคุมและเป็นขั้นตอนของการจัดการพื้นที่ และแนวโน้มของการเกิดอาฟเตอร์ช็อกได้ลดระดับลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีความเสียหาย 18 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่, เชียงราย, พะเยา, ลำพูน, ลำปาง, แม่ฮ่องสอน, แพร่, น่าน, เพชรบูรณ์, พิษณุโลก, สุโขทัย, อ่างทอง, พระนครศรีอยุธยา, ปทุมธานี, นนทบุรี, สมุทรปราการ, สมุทรสาคร, ชัยนาท และกรุงเทพมหานคร รวม 85 อำเภอ 173 ตำบล 144 หมู่บ้าน บ้านเรือนได้รับผลกระทบ 420 หลัง วัด 48 แห่ง โรงพยาบาล 76 แห่ง อาคาร 8 แห่ง โรงเรียน 23 แห่ง และสถานที่ราชการ 18 แห่ง เฉพาะพื้นที่ กทม.มีผู้เสียชีวิต 9 ราย บาดเจ็บ 9 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บใน กทม. 8 ราย นนทบุรี 1 ราย
“ขณะนี้กรมบัญชีกลางได้อนุมัติให้ ปภ.ขยายวงเงินทดรองราชการเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (กรณีแผ่นดินไหว) ในพื้นที่ กทม. และ 76 จังหวัด ซึ่งเป็นวงเงินในอำนาจอธิบดี 200 ล้านบาท สำหรับใช้จ่ายด้านการดำรงชีพและด้านการปฏิบัติงาน” นายภาสกรระบุ
สำหรับความคืบหน้าปฏิบัติการค้นหาผู้สูญหายจากเหตุอาคาร สตง.แห่งใหม่ถล่มนั้น ตั้งแต่ช่วงเช้ารถฉีดน้ำทยอยเดินทางเข้าพื้นที่เพื่อฉีดพ่นน้ำลดฝุ่นบริเวณจุดเกิดเหตุและถนนด้านหน้า ขณะที่หลายหน่วยงานยังคงระดมสรรพกำลังเร่งค้นหาผู้เสียหายที่ติดค้างอยู่ภายในซากอาคาร ซึ่งเช้าวันนี้พบมีทหารสหรัฐอเมริกาบางส่วนลงพื้นที่มาติดตามสถานการณ์ด้วย
และในเวลา 06.30 น. เจ้าหน้าที่พบสัญญาณชีพที่ลึกลงไป 2 เมตร อีกทั้งทีมสุนัข K9 USAR ได้เห่าเสียงยืนยัน เจ้าหน้าที่จึงเร่งวางแผนดำเนินการเพื่อจะเข้าไปสู่ตัวผู้ประสบภัย และต่อมาเวลา 07.00 น. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.ได้ลงพื้นที่มาตรวจสอบปฏิบัติการค้นหาผู้สูญหาย
นายชัชชาติกล่าวว่า ทุกหน่วยยังเร่งค้นหาช่วยชีวิตผู้ประสบภัย โดยยังมีความหวังเต็มที่แม้ใกล้ครบ 48 ชั่วโมงแล้วก็ตาม โดยอุปสรรคและความยากของการทำงาน ณ เวลานี้คือการช่วยชีวิต ไม่ใช่แค่การรื้อถอน เพราะการจะยกชิ้นส่วนต่างๆ ออกต้องระมัดระวังมาก เพื่อไม่ให้มีความเสี่ยงต่อผู้ที่ยังรอดชีวิต จึงต้องมีการประเมินสถานการณ์ตลอดเวลา และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ก็ต้องระมัดระวัง แต่มั่นใจได้ว่าทุกอย่างทำตามมาตรฐานสากล โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากต่างชาติมาร่วมวางแผนด้วย
ยันเร่งกู้ชีพไม่หยุด
“ยืนยันว่าขณะนี้ความพยายามในการกู้ชีพยังไม่หยุดลง มีปฏิบัติการต่อเนื่องตลอดทั้งคืน ในเวลา 13.30 น.ก็จะครบ 72 ชั่วโมงของเหตุแผ่นดินไหวอาคารถล่ม แต่ภารกิจค้นหาจะยังไม่หยุด”
รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า ข้อมูลตัวเลขทั้งผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต และยอดผู้สูญหาย ที่ก่อนหน้านี้อาจสับสนนั้น หลังจากนี้ขอให้ยึดตามรายงานของ กทม.ที่จะประสานการทำงานร่วมกันกับ ปภ. โดยยอดตัวเลขล่าสุดมีผู้บาดเจ็บ 9 คน เสียชีวิต 8 คน สูญหาย 79 คน โดยตอนนี้มีหน่วยงานที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่กว่า 20 หน่วยงาน ทั้งไทยและต่างชาติ รวมถึงหน่วยทีมแพทย์ที่สแตนด์บายอยู่ด้านนอก
สำหรับความเคลื่อนไหวของรัฐบาลนั้น นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า นายกฯ ได้ติดตามและมอบภารกิจทั้งหมดแล้ว ซึ่งได้ดำเนินการแล้วคาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาใดมาก แต่สิ่งที่สำคัญคืออยากให้ประชาชนมั่นใจ เวลานี้จากการตรวจสอบแล้วคิดว่าปลอดภัย ยกเว้นบางสถานที่และบางจุดได้กำชับเป็นสัดส่วนไป เช่นคอนโดฯ บางแห่งมีรอยร้าว และตรวจพบว่ายังไม่มั่นคงก็จะไม่ให้เข้าพื้นที่ ส่วนเรื่องขนส่งมวลชนสาธารณะได้ตรวจสอบแล้ว แต่รถไฟฟ้าอีก 2 สายอยู่ระหว่างการตรวจสอบ คาดว่าวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็จะครบถ้วน เปิดให้บริการได้ แต่อย่างอื่นไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
“วันนี้ได้มีการส่งวิศวกรอาสาประมาณ 2,000 คน จะเข้าไปตรวจสอบในแต่ละพื้นที่อีกครั้ง ดังนั้นในประเทศภารกิจหลักอยู่ที่การช่วยเหลือชีวิตผู้ที่อยู่ในพื้นที่ตึกถล่ม เพราะตามปกติจะดำเนินชีวิตได้ 72 ชั่วโมง ดังนั้นจึงต้องเร่งมือ” นายภูมิธรรมกล่าว
ส่วนนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ให้การต้อนรับและหารือกับนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และนายหลี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการภัยอุโมงค์ถล่มและแผ่นดินไหว ของกระทรวงการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินประเทศจีน ในโอกาสหารือการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอาคารถล่ม
โดยนายอนุทินกล่าวว่า ขอขอบคุณนายหาน จื้อเฉียง และทางการจีน ที่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือเมื่อยามประเทศไทยเกิดเหตุสาธารณภัยมาโดยตลอด ซึ่งเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ จุดที่สร้างความเสียหายและสร้างความวิตกที่สุด คือ อาคาร สตง.แห่งใหม่ที่พังถล่ม โดยกรณีนี้ทางการไทยจะเร่งพิสูจน์ให้ได้ว่าเหตุใดจึงถล่ม ซึ่งได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงขึ้นมาทำหน้าที่สืบหาข้อเท็จจริงและรายงานมาภายใน 7 วัน
“การสอบสวนจะดำเนินการใน 3 กลุ่ม คือ 1.ผู้ออกแบบ 2.ผู้ควบคุมงาน และ 3.ผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยหากผลการสอบสวนออกมาว่า ผู้ก่อสร้างได้ทำตามแบบและขั้นตอนทุกอย่าง ความผิดของผู้รับเหมาก็ลดน้อยลงไป แต่ถ้าพิสูจน์ได้ว่ามีการทำที่นอกเหนือจากแบบ และใช้วัสดุที่ไม่ตรงกับที่กำหนดไว้ ก็ต้องได้รับผลตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งกระทรวงจะตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเป็นธรรม" นายอนุทินกล่าว
นายอนุทินกล่าวว่า สิ่งที่กังวลในขณะนี้คือ เวลาผ่านไปจะครบ 48 ชั่วโมงแล้ว เราต้องการช่วยชีวิตคน ใช้ทุกวิถีทางหาผู้รอดชีวิตให้มากที่สุด เพราะตามทฤษฎีเราเชื่อว่า ถ้าสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ใน 72 ชั่วโมง เรายังมีความหวังจะช่วยผู้รอดชีวิตมากขึ้น ตอนนี้เหลือ 26 ชั่วโมง
นายหาน จื้อเฉียง กล่าวว่า ในนามรัฐบาลจีนขอแสดงความเสียใจและแสดงความไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิต โดยสาเหตุอาคารถล่มทางการจีนจะร่วมมือกับรัฐบาลไทยสืบสวนหาสาเหตุอย่างเต็มที่ เพราะมีบริษัทของจีนร่วมก่อสร้างด้วย และขณะนี้ทางการจีนได้สั่งให้บริษัทผู้ก่อสร้างให้ความร่วมมือกับประเทศไทยอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งให้ความเชื่อมั่นว่าการสอบสวนของทางการไทยเป็นไปอย่างยุติธรรมอยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน นายประจักษ์ บุญยัง อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งเป็นผู้ลงนามสัญญาการว่าจ้าง กิจการร่วมค้าไอทีดี-ซีอาร์อีซี ที่เป็นการร่วมมือกันระหว่าง บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ในการก่อสร้างอาคาร สตง. กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า รู้สึกตกใจ เสียใจ เศร้าใจกับเหตุการณ์ตึกถล่มที่เกิดขึ้นอย่างมาก
นายประจักษ์กล่าวว่า หลังเกิดเหตุการณ์ได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ สตง. เพราะต้องการทราบข้อมูลการก่อสร้างโครงการตึก สตง.ที่ถล่มลงมา โดย สตง.แจ้งว่าผู้ว่าฯ สตง.กำลังให้สำนักงานรวบรวมข้อมูลทั้งหมดในการก่อสร้างดังกล่าวตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงวันที่เกิดเหตุ ซึ่งคาดว่าในสัปดาห์หน้านี้ สตง.จะออกเอกสารข่าวชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ก็รอการชี้แจงจาก สตง.อยู่
“ยืนยันได้ว่าการว่าจ้างดังกล่าวทำตามโปร่งใส ทำตามระเบียบขั้นตอนทางกฎหมายในการประมูลการก่อสร้างอาคารของรัฐ ด้วยวิธีอีบิดดิง ซึ่งกิจการร่วมค้าไอทีดี-ซีอาร์อีซี กับบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ ได้เสนอราคามาต่ำกว่าราคากลาง และเสนอมาราคาต่ำสุด จึงตกลงสัญญาว่าจ้างให้ก่อสร้างตึก สตง. หลังเกิดเหตุการณ์ก็รู้สึกตกใจ เสียใจมาก ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ผมก็พร้อมชี้แจงกับคณะกรรมการที่รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยตั้งขึ้นมา เรียกมาเมื่อใดก็พร้อมไปชี้แจงทันที” อดีตผู้ว่าฯ สตง.ระบุ
สตง.งดแถลงข่าว
นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะโฆษก สตง. เผยว่า สตง.ได้จัดทำเอกสารชี้แจงสัญญาการก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ของ สตง.ออกมาแล้ว ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดจะอยู่ในเอกสารข่าวที่เผยแพร่ ทาง สตง.จะไม่มีการแถลงข่าวในวันที่ 31 มี.ค.แต่อย่างใด โดยขณะนี้ สตง.อยู่ระหว่างรอคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยตั้งขึ้นประสานมา เพื่อขอให้ สตง.ส่งข้อมูลหรือส่งคนไปร่วมประชุมชี้แจง ซึ่ง สตง.ก็พร้อมส่งคนไปชี้แจงกับกรรมการโดยทันที
ด้านแหล่งข่าวจากคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ที่มี พล.อ.ชนะทัพ อินทามระ เป็นประธาน ให้ข้อมูลว่า คตง.จะเรียกประชุมกันภายในสัปดาห์นี้ เพื่อหารือเรื่องเหตุการณ์ตึก สตง.ถล่ม เพื่อให้นายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าฯ สตง.เข้าชี้แจงการก่อสร้างตึก สตง.ว่าที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร และขณะนี้ สตง.ได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง รวมถึงคงจะสอบถามรายละเอียดสัญญาการก่อสร้างตึก สตง.ว่าที่ผ่านมามีความล่าช้าและขยายเวลาการก่อสร้าง ตรวจรับงาน เพราะสาเหตุอื่นใดหรือไม่ นอกเหนือจากที่เคยประสบปัญหาการก่อสร้างในช่วงที่เกิดโควิดระบาด
แหล่งข่าวกล่าวว่า การที่ตึก สตง.ถล่มส่งผลกระทบกับ สตง.ที่เป็นหน่วยงานตรวจสอบหน่วยงานภาครัฐ ที่เรียกว่าหน่วยรับตรวจบัญชีทุกแห่ง รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจ ที่ สตง.มีการเข้าไปตรวจสอบสัญญาการก่อสร้างโครงการต่างๆ ว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ มีการล็อกสเปกหรือไม่ แต่สุดท้ายตึกของ สตง.กลับมีปัญหาเสียเอง เรื่องนี้ คตง.ก็ไม่สบายใจ ต้องการฟังคำชี้แจงจากผู้ว่าฯ สตง.ในสัปดาห์นี้
“คตง.รับทราบความคืบหน้าต่างๆ ในสัญญาการก่อสร้าง แต่เมื่อเกิดเหตุแบบนี้ทางผู้บริหารของ สตง.จะนิ่งเฉยไม่ได้ ต้องชี้แจงกับสังคม และเราก็ต้องการให้ สตง.ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลและกรรมการสอบสวนที่ตั้งขึ้นมา เพราะเหตุการณ์ตึก สตง.ถล่มครั้งนี้ส่งผลต่อภาพลักษณ์ สตง.แน่นอน” แหล่งข่าวระบุ
ด้านสำนักงานประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร สตง.ได้ออกเอกสารข่าวชี้แจงในหัวข้อ “สตง.เร่งตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยและผู้ได้รับผลกระทบ จากกรณีอาคารที่ทำการสำนักงานแห่งใหม่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว พร้อมยืนยันกระบวนการดำเนินโครงการฯ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย” โดยได้เรียงลำดับขั้นตอนโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการแห่งใหม่บนพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ 3 งาน ตั้งแต่การออกแบบอาคาร, กระบวนการก่อสร้างอาคาร, การบริหารสัญญาก่อสร้าง และการควบคุมงานก่อสร้าง ก่อนยืนยันการดำเนินโครงการก่อสร้างดังกล่าว สตง.ยึดหลักความสุจริต คุ้มค่า โปร่งใส ประสิทธิภาพประสิทธิผล และตรวจสอบได้ (อ่านรายละเอียดหน้า 2)
วันเดียวกัน ที่กองอำนวยการร่วม (ศูนย์รับแจ้งคนหาย) สน.บางซื่อ พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. กล่าวหลังเข้าตรวจสอบอาคาร สตง.พังถล่มว่า ขณะนี้ยังคงมีสำนวนคดีอื่นที่ต้องทำคือการชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิต ซึ่งต้องแยกเป็นอีกสำนวนหนึ่ง แต่พยานหลักฐานที่ตรวจยึดได้ครั้งนี้ก็ต้องนำไปใช้ประกอบกัน ขณะนี้ก็มีการสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องไปหลายปากแล้ว โดยในส่วนการกู้ชีพกู้ภัยก็จะมีฝ่ายของผู้ว่าฯ กทม.เป็นคนดำเนินการ แต่ในส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจะเป็นหน้าที่ของตำรวจที่ต้องรับผิดชอบในการทำสำนวนการสอบสวน และหาสาเหตุในการเสียชีวิตว่าเกิดจากการกระทำของผู้ใด หรือเกิดจากความประมาทของผู้ใดหรือไม่
แจ้งความเอาผิด 4 คนจีน
ด้าน พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. กล่าวถึงกรณีเมื่อวันที่ 29 มี.ค. ได้มีชายชาวจีน 4 คนเข้าไปลักลอบขนเอกสาร ซึ่งเป็นแฟ้ม 32 รายการ ออกจากด้านหลังของอาคารซึ่งพังถล่มลงมาโดยไม่ได้รับอนุญาตว่า จากการสอบปากคำพร้อมตรวจสอบวีซ่า ใบอนุญาตทำงานและหนังสือเดินทาง ก็พบว่ามีใบอนุญาตทำงานถูกต้อง และมีเอกสารที่ยืนยันว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวทำงานอยู่ในบริษัท ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้ากับบริษัท อิตาเลียนไทยฯ จากการตรวจสอบเอกสารทั้งหมด 32 รายการ พบเป็นเอกสารหลายชนิด เช่น เอกสารผู้รับเหมาก่อสร้าง, สำเนาอาร์เอฟไอ, เอกสารที่เกี่ยวข้องกับคำชี้แจงหนังสือแจ้งให้ตรวจสอบงานทั่วไป, เอกสารขอความคิดเห็นและทำการชี้แจงเอกสารผู้รับเหมา, เอกสารผู้รับเหมาเช่าช่วงและเอกสารเกี่ยวกับผู้รับเหมา 3-4 รายการ, เอกสารงานวิศวกรรมระบบไฟฟ้าและขนส่ง พนักงานสอบสวนจึงทำการตรวจยึดไว้ตรวจสอบ ส่วนชาวจีนทั้ง 4 คน หลังสอบปากคำแล้วเสร็จก็ได้ปล่อยตัวชั่วคราว
“ทั้ง 4 คนระบุว่าต้องการเข้าไปในพื้นที่เพื่อเอาเอกสารไปเคลมประกันภัย ซึ่งเอกสารดังกล่าวอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ของลานจอดรถ ซึ่งเป็นสถานที่ชั่วคราวของบริษัท แต่ไม่ได้มีการขออนุญาต พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างตรวจสอบเอกสารที่ตรวจยึดมาได้ ว่าเกี่ยวข้องกับกรณีตึกถล่มหรือไม่ และจะมีการเรียกสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด”
รอง ผบช.น.กล่าวต่อว่า หาก กทม.แจ้งความแล้วก็จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ฐานผู้ใดเข้าไปในพื้นที่โดยไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายหรือตามคำสั่งของผู้อำนวยการ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงขอประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชน ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องห้ามเข้าไปในพื้นที่เกิดเหตุ เพราะมีข้อบังคับและมีการติดประกาศแจ้งเตือนไว้แล้ว
ต่อมานิติกรฝ่ายเทศกิจสำนักงานเขตจตุจักร เดินทางมา สน.บางซื่อเพื่อแจ้งความดำเนินคดีชาวจีน 4 คน ที่ฝ่าฝืนประกาศเข้าไปในอาคารที่เกิดเหตุ ขนเอกสารพิมพ์เขียวและเอกสารอื่นๆ ออกนอกพื้นที่ก่อสร้างอาคาร สตง.ที่เกิดเหตุถล่ม โดยมี ร.ต.ท.สมศักดิ์ พุ่มอุสิต รอง สว.สอบสวน สน.บางซื่อเป็นผู้รับแจ้ง โดยนิติกรฝ่ายเทศกิจสำนักงานเขตจตุจักรปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลกับสื่อ เนื่องจากไม่สามารถให้ข้อมูลได้ โดยให้สื่อติดตามผู้บังคับบัญชากันต่อไป
'บิ๊กกรมโยธา' นั่ง ปธ.สอบตึกถล่ม
ศูนย์รับแจ้งเพื่อตรวจสอบความเสียหายของอาคารที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว (ศรต.ยผ.) กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ออกแถลงการณ์ว่า ได้ดำเนินการตั้งศูนย์รับแจ้งเพื่อตรวจสอบความเสียหายของอาคารที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว (ศรต.ยผ.) ณ กรมโยธาธิการและผังเมือง ถนนพระรามที่ 6 โดยประสานงานกับสภาวิศวกร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ตรวจสอบอาคาร และวิศวกรอาสาภาคเอกชน เพื่อรวบรวมวิศวกรที่จะดำเนินการตรวจสอบอาคารที่มีการแจ้งว่าได้รับความเสียหาย ซึ่งปัจจุบันรวบรวมได้ประมาณ 200 คน โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองได้แบ่งอาคารในการตรวจสอบออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ อาคารกลุ่มที่ 1 ได้แก่ อาคารภาครัฐ อาคารกลุ่มที่ 2 ได้แก่ อาคารสูง โรงแรม คอนโดมิเนียม หอพัก ห้างสรรพสินค้าที่เป็นของภาคเอกชน อาคารกลุ่มที่ 3 ได้แก่ อาคารบ้านพักอาศัย ตึกแถว ห้องแถว และอาคารทั่วไป สำหรับอาคารในต่างจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว กรมโยธาฯ ได้สั่งการให้โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดดำเนินการตรวจสอบร่วมกับวิศวกรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และวิศวกรอาสาของเอกชนในพื้นที่ นอกจากนี้ กรมโยธาธิการและผังเมืองได้รับมอบหมายจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย สั่งการให้เป็นหน่วยงานหลักในการวางแผนดำเนินการรื้อถอนเครนที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว บริเวณริมทางด่วนดินแดง
ในส่วนของอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่พังถล่ม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการให้ กรมโยธาธิการและผังเมืองเป็นหน่วยงานหลักที่เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งปัจจุบันกรมฯ ได้ตั้งคณะกรรมการเรียบร้อยแล้ว ประกอบด้วย วิศวกรใหญ่ กรมโยธาธิการและผังเมือง เป็นประธาน รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เป็นรองประธาน นายกสภาวิศวกรเป็นที่ปรึกษา และมีกรรมการประกอบด้วย ศาสตราจารย์ ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย อาจารย์จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ผู้แทนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร สภาวิศวกร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และผู้อำนวยการสำนัก/กองที่เกี่ยวข้องของกรมโยธาธิการและผังเมือง เป็นคณะกรรมการ มีคำสั่งแต่งตั้งเรียบร้อยแล้ว
โดยจะได้มีการประชุมครั้งแรกในวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม 2568 และจะรายงานผลให้นายกรัฐมนตรีทราบภายใน 7 วัน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา
หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.
"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.
แบบพระเมรุมาศเสร็จม.ค. สานพระราชปณิธานผ้าไทย
"อธิบดีกรมศิลป์" เผยแบบก่อสร้างพระเมรุมาศ “พระพันปีหลวง” แล้วเสร็จ ม.ค.69


