นายกฯ อิ๊งค์ขึงขังกู้ภาพพจน์ประเทศ บอกตึก สตง.ถล่ม ต้องมีคำตอบชาวบ้านและประชาคมโลก รีบปัดไม่ได้เพ่งเล็งแค่บริษัทจากจีน “พาณิชย์” พาเหรดล้อมคอก “พิชัย” ชี้ “ไชน่า เรลเวย์” เป็นนอมินีแน่ อึ้ง! รับงานภาครัฐถึง 11 งาน 10 งานก่อสร้างอยู่ “เอกนัฏ” จ่อเพิกถอนใบอนุญาตโรงงานผลิตเหล็กเส้น “ดีเอสไอ” กระดี๊กระด๊ารับเป็นคดีพิเศษ เตรียมถกเข้าข่าย 3 กฎหมายใหญ่ “อัจฉริยะ” ปูดมีการจ่ายเงินใต้โต๊ะ 100 ล้านบาท ชงฟันกราวรูดตั้งแต่ผู้จ้างยันวิศวกร
เมื่อวันอังคารที่ 1 เม.ย.2568 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีเหตุตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ว่ามีข้อสั่งการทุกกระทรวง ก่อนเริ่มเข้าวาระประชุม ครม.ได้พูดคุยกันถึงเรื่องของสาเหตุตึกถล่ม ซึ่งทุกกระทรวงได้มีข้อเสนอและทุกกระทรวงมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบกันคนละเรื่อง ซึ่งทุกกระทรวงรับไปพิจารณาเพื่อให้การดำเนินการหาข้อเท็จจริงเป็นไปได้เร็วที่สุด โดยจะติดต่อเรื่องระบบเทคโนโลยีกับประเทศต่างๆ ที่ประสบแผ่นดินไหวบ่อยๆ เช่น ญี่ปุ่นหรือโซนประเทศในยุโรป โดยได้มอบหมายแต่ละกระทรวงพูดคุยเรื่องเทคโนโลยีเพิ่มเติมด้วย อย่างกระทรวงศึกษาธิการได้ปรับแผน เพราะมีเด็กที่ต้องสอบก็ต้องเลื่อนวันสอบ ซึ่งแต่ละกระทรวงปรับตามความเหมาะสมของแต่ละกระทรวงไป ก็ต้องร่วมมือกันเป็นอย่างดี
เมื่อถามว่าในส่วนของบริษัทที่มารับเหมาก่อสร้างต้องสังคายนาด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะบริษัทที่รับเหมาที่รับการสร้างสาธารณูปโภคและเส้นทางคมนาคมด้วย นายกฯ ตอบว่า ค่ะ ได้ให้ตรวจสอบทุกโครงการที่เกี่ยวข้อง และให้ลงลึกว่าทำโครงการไหนบ้าง เพราะความจริงไม่อยากให้เกิดเรื่องของความไม่ปลอดภัยเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งได้สั่งการใน ครม.ไปแล้วว่าโครงการที่เกี่ยวข้องให้ผู้ที่มีหน้าที่ตรวจสอบไปตรวจสอบ
เมื่อถามว่าอย่างล่าสุด กระทรวงอุตสาหกรรม (กอ.) ได้ไปตรวจสอบเหล็กเส้นไม่ได้มาตรฐานต้องมีการตรวจสอบเชิงลึกว่าได้กระจายลงไปยังโครงการอื่นๆ อีกหรือไม่ เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้อีก นายกฯ กล่าวว่า อันนี้ต้องตรวจสอบแน่นอน เพราะเป็นเรื่องของความปลอดภัย ถ้าพบเจอแล้วว่าชิ้นส่วนต่างๆ พวกเหล็กที่เอามาทำตึก ส่วนประกอบ และวัสดุต่างๆ ถ้ากระจายไปที่โครงการอื่นด้วยก็ต้องแจ้ง เราต้องจริงจังกับเรื่องนี้ตามกระบวนการทุกอย่าง เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่และเกิดขึ้นกับตึกตึกเดียว แต่มันเป็นภาพพจน์ของประเทศไทย เพราะฉะนั้นเราต้องตอบโจทย์เรื่องนี้ให้ได้ว่าความจริงมันเกิดอะไรขึ้น ให้เวลาทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบเพื่อได้เอาคำตอบมาบอกพี่น้องประชาชน และความจริงไม่ใช่แค่พี่น้องประชาชน แต่บอกทั้งโลกว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ทั้งนี้ กระบวนการตรวจสอบอยู่ในกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แล้ว เป็นการพิจารณาของดีเอสไอ
เมื่อถามว่า ในส่วนของนักท่องเที่ยวและนักลงทุนที่ไม่เชื่อมั่น รัฐบาลมีการดำเนินการอย่างไรในการเรียกความเชื่อมั่น นายกฯ กล่าวว่า ดำเนินการตลอด ไม่ว่าจะเป็นตนเอง หรือ รมว.การต่างประเทศ หรือ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ได้สื่อสารให้นักท่องเที่ยวเข้าใจว่ามันเป็นความผิดพลาดเรื่องของตึกอย่างเดียว แต่ตึกทุกตึกในกรุงเทพฯ ต้องผ่านมาตรฐานตามกฎหมายอยู่แล้วเรื่องการรองรับการเกิดแผ่นดินไหว กฎหมายของตึกเหล่านี้มีขั้นตอนเบื้องต้นอยู่แล้ว แต่ว่าเรากำลังตรวจสอบอยู่ ก็ได้ส่งข้อความสื่อสารแจ้งนักท่องเที่ยวแบบนี้ไป
เมื่อถามว่า ต้องตรวจสอบบริษัททุนจีนข้ามชาติที่มาลงทุนด้วยหรือไม่ให้เข้มข้นมากขึ้นกว่านี้ นายกฯ กล่าวว่า แน่นอนค่ะ อันนี้เป็นบทเรียนว่าเราต้องเข้มงวดมากขึ้นในเรื่องของทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสร้างตึก หรือสร้างอะไร ความปลอดภัยต้องมาเป็นหลัก
อิ๊งค์ปัดจับผิดจีน
ถามอีกว่า ตอนนี้ทุนข้ามชาติเข้ามาลงทุนในบ้านเรา แต่จ้างแรงงานต่างด้าว แล้วคนไทยได้อะไร นายกฯ กล่าวว่า เราต้องดูเรื่องการจ้างแรงงานต่างด้าวที่ถูกกฎหมายด้วย ซึ่งทุกไซต์งานไม่ได้มีแรงงานชาติใดชาติหนึ่งทั้งหมด เพราะเรื่องจำนวนคนมีไม่เพียงพอ ในหลายๆ ไซต์งานที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ฉะนั้นจะพยายามดูตรงนี้ให้ดี ไม่ให้คนไทยเสียโอกาสอยู่แล้ว อย่างไซต์งานที่เกิดขึ้นก็มีทั้ง 2 สัญชาติ
เมื่อถามอีกว่า ตอนนี้ทุนจีนถูกโฟกัสเป็นพิเศษ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ตอนที่เขาร่วมกันสร้างตึกนี้เป็นบริษัทไทยกับจีน เราต้องสอบสวนอย่างนั้นไป ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่เรื่องเฉพาะว่าประเทศไหน มันดูตามคอนแท็กว่าบริษัทยี่ห้อไหนกับยี่ห้อไหนคุยกัน มันไม่เกี่ยวกับเรื่องสัญชาติว่าเป็นยังไง ถ้าเป็นใครจดกับใครก็ได้เราก็ต้องตรวจสอบทั้งนั้น ไม่เกี่ยวว่าเป็นประเทศอะไร เพราะเราไม่อยากให้ประเทศใดประเทศหนึ่งเข้าใจว่าเราไปโฟกัสความผิด มันไม่ใช่ มันเป็นเรื่องของหน้างานที่ต้องเป็นแบบนั้น
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ในการประชุม ครม. น.ส.แพทองธารมีข้อสั่งการให้คณะกรรมการสืบหาต้นเหตุของตึกก่อสร้าง สตง.ถล่มในครั้งนี้ที่มี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทยเป็นประธาน ให้เร่งตรวจสอบหาข้อเท็จจริงภายใน 7 วัน หากมีความผิดต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป อาคารก่อสร้างถล่มครั้งนี้ต้องหาสาเหตุและหาผู้รับผิดชอบให้ได้ ไม่เช่นนั้นประเทศไทยจะอยู่ยาก ต้องมีผู้รับผิดชอบเพื่อแก้ไขปัญหาระยะยาวต่อไป
นายจิรายุกล่าวอีกว่า นายกฯ ได้สอบถามในแต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้อง โดย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ได้รายงานต่อ ครม.ว่าดีเอสไอได้รับเป็นคดีพิเศษเพื่อติดตามตรวจสอบการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวที่พบว่ามีนอมินีมากถึง 17 บริษัท ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) ตรวจสอบพบว่าบริษัทดังกล่าวรับงานส่วนราชการไปทั้งหมด 11 งาน 10 งานอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ส่วนงานที่แล้วเสร็จเป็นอาคารเรียนโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งจะตรวจสอบต่อไป ขณะที่นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม รายงานว่า ผลการตรวจสอบเหล็กพบว่าไม่เป็นไปตามมาตรฐาน โดยส่งข้อมูลให้พนักงานสอบสวนเพื่อประกอบสำนวนการสอบสวนต่อไป
ด้านนายเอกนัฏกล่าวถึงการตรวจวัสดุก่อสร้างในจุดที่สำนักงาน สตง.ถล่มว่า ได้เก็บตัวอย่างมาได้ 6 ประเภท ทั้งเหล็กกลม และเหล็กข้ออ้อย 3 ยี่ห้อ จากการตรวจสอบพบว่ามีเหล็ก 2 ขนาดที่ไม่ได้มาตรฐาน คือเหล็กไซส์ 20 และ 32 มาจากยี่ห้อเดียวกัน ส่วนจะสั่งปิดโรงงานเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐานหรือไม่นั้น พบว่าผู้ผลิต กอ.สั่งหยุดโรงงานไปแล้วเมื่อเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว จากนี้จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนขยายผลว่ามีผลพอให้เพิกถอนใบอนุญาตได้เลยหรือไม่
“ผมก็อึ้งเหมือนกัน โรงงานที่พบว่าผลิตเหล็กไม่ได้มาตรฐานนี้ เป็นโรงงานที่ไปตรวจและสั่งปิดไปตั้งแต่เดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว แต่การก่อสร้างเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2563 สร้างมาแล้ว 5 ปี แต่เชื่อว่าหลักฐานมีความสำคัญและมีน้ำหนัก ซึ่งช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา ได้ข่าวว่ามีความพยายามวิ่งเต้น และข่มขู่เจ้าหน้าที่ เรื่องนี้เข้าใจ ไม่เป็นไร ถ้าไม่กล้าพูด ผมก็จะพูดเอง เกิดอะไรขึ้นผมรับผิดชอบเอง เราปล่อยปละละเลยต่อไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
ชี้ไชน่า เรลเวย์ฯ เป็นนอมิมี
ส่วนนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นของ พณ.พบว่า บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นคู่สัญญาก่อสร้างตึก สตง.แห่งใหม่ส่อเข้าข่ายเป็นนอมินี หรือมีคนไทยถือหุ้นแทน เพื่อให้ต่างด้าวเลี่ยงปฏิบัติตามกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวในไทย เพราะพบความผิดปกติหลายประการ เช่น ไปตรวจที่สำนักงานใหญ่ ไม่เปิดทำการ กดกริ่งไม่มีคนเปิด โทรศัพท์ไม่มีคนรับสาย ทั้งโทรไลน์ และเบอร์โทรศัพท์ที่ให้ไว้
“คณะทำงานปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ที่มี ร.ต.จักรา ยอดมณี รองปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน จะรวบรวมรายละเอียดทั้งหมด นำเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการปราบปรามสินค้าฯ ที่มีผมเป็นประธานพิจารณาในวันที่ 4 เม.ย.2568 และจะส่งต่อให้ดีเอสไอดำเนินการต่อไป โดยจะเอาผิดให้ถึงที่สุด ทุกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งคดีแพ่ง คดีอาญา เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่มาก”
นายพิชัยกล่าวอีกว่า การตรวจสอบเบื้องต้นพบความผิดปกติเยอะมาก เช่น คนไทยที่ถือหุ้น 10% แต่กลับไม่มีบ้าน ไม่มีรถ ทั้งๆ ที่ 10% ของทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท คือ 10 ล้านบาท และยังพบมีเครือข่ายกว้างมาก ขอรวบรวมทุกเรื่องให้ชัดเจนก่อน และจะแถลงครั้งเดียววันที่ 4 เม.ย.นี้ ยืนยันเอาผิดให้ถึงที่สุด ไม่มีเกี้ยเซียะ หรือไม่มีฮั้วใดๆ โดยความผิดนอมินีต้องดำเนินคดีทั้งคนไทยและคนต่างด้าว มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000 ถึง 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนการนำเข้าเหล็กด้อยคุณภาพมาใช้ก่อสร้าง พณ.ก็จะตรวจสอบเช่นกันตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่
นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ผู้ถือหุ้นบริษัท ไชน่า เรลเวย์ มีการเชื่อมโยงกับ 13 บริษัท ซึ่งมีความผิดปกติ โดยที่ประชุมคณะกรรมการปราบปรามสินค้าฯ ได้พิจารณาหลายประเด็น ทั้งบริษัทเข้าข่ายฮั้วประมูลหรือไม่ เป็นนอมินีหรือไม่ และผิด พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างหรือไม่ ซึ่งจำเป็นต้องตรวจสอบเชิงลึก โดยวันที่ 2 เม.ย. พณ.จะจัดส่งข้อมูลที่คณะทำงานพิจารณาไปให้ดีเอสไอเพื่อเป็นข้อมูลให้ตรวจสอบต่อไป
“การประชุมได้ตั้งคณะย่อยขึ้นมา 5 ชุด เพื่อปูพรมตรวจสอบความผิดปกติและเข้าข่ายนอมินี โดย 3 ชุดแรกจะตรวจสอบนอมินีในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมไปถึงตรวจสอบการใช้แรงงานผิดกฎหมาย และสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ ส่วนอีก 2 ชุดจะลงพื้นที่ตรวจสอบการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และการถือครองที่ดิน” นายนภินทรระบุ
ขณะที่ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ เป็นประธานการประชุมสรุปสถานการณ์กรณีอาคารของ สตง.ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างถล่ม โดยที่ประชุมมีการรายงานข้อเท็จจริงในมิติที่ดีเอสไอเกี่ยวข้อง ในเบื้องต้นมีประเด็นที่อาจเกี่ยวข้องกับความผิดตามกฎหมาย 3 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542, ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ.2511 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 ซึ่งมีประกาศ กคพ. (ฉบับที่ 8) กำหนดรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดไว้ โดยเป็นอำนาจของอธิบดีดีเอสไอที่จะมีคำสั่งให้รับเป็นคดีพิเศษได้
ดีเอสไอจ่อรับเป็นคดีพิเศษ
พ.ต.ต.ยุทธนากล่าวภายหลังประชุมว่า ดีเอสไอได้ตรวจสอบและรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องบางส่วนแล้ว เพื่อเตรียมพิจารณารับเป็นคดีพิเศษในเร็วๆ นี้ เนื่องจากมีข้อมูลมาพอสมควร อีกทั้งยังมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่เราต้องพิจารณา 3 ฉบับ โดยดีเอสไออยู่ระหว่างประมวลรายละเอียดและแสวงหาพยานหลักฐานเบื้องต้นตาม 3 ข้อกฎหมายดังกล่าว โดยหากมีพฤติการณ์ พยานหลักฐานที่เข้าเงื่อนไขตามประกาศ กคพ. (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2565 ก็สามารถรับไว้ดำเนินการเป็นคดีพิเศษได้ รวมไปถึงการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อดูเรื่องมาตรฐานเหล็กที่ใช้ในการก่อสร้าง ส่วนเรื่องนอมินีอาจให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือกรมสรรพากรมาช่วยตรวจสอบได้ด้วย
พ.ต.ต.ยุทธนากล่าวอีกว่า การตรวจสอบเรื่องฮั้วประมูลต้องมีวงเงินเสนอราคาเกินกว่า 30 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนเรื่องการตรวจสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ต้องมีมูลค่าสินค้าผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ 10 ล้านบาท โดยเฉพาะประเด็นเรื่องเหล็ก ซึ่งต้องขอข้อมูลไปทาง กอ. ขณะที่การตรวจสอบเรื่อง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 หรือนอมินีต้องมีสินทรัพย์ตามบัญชีแสดงฐานะทางการเงิน ตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งหากเป็นไปตามนี้ก็จะอยู่ในข่ายรับไว้เป็นคดีพิเศษได้
“อาจไม่จำเป็นต้องรับดำเนินการทั้ง 3 ฐานความผิด แต่สามารถรับดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนได้ หากข้อกฎหมายใดมีมูลมากกว่า” พ.ต.ต.ยุทธนากล่าว
พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค และในฐานะโฆษกดีเอสไอ กล่าวว่า ตามขั้นตอนแล้วหากเริ่มการสืบสวนจะต้องมีการเชิญสอบปากคำพยานกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากกิจการร่วมค้าเป็นเรื่องของนิติบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อมาทำกิจการ จึงจำเป็นต้องสอบสวนผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ตามกฎหมายเบื้องต้นเราจะไปดูประเด็นหลัก เรื่องของการได้มาซึ่งสัญญาการก่อสร้างก่อน โดยขอย้ำว่า ในการสืบสวนเป็นเพียงการไปหาข้อเท็จจริงว่ามีประเด็นตามข้อกฎหมายที่ดีเอสไอจะรับไว้เป็นคดีพิเศษหรือไม่ แต่ไม่ได้หมายความว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดหรือไม่ จะยังไม่ได้ลงไปถึงเนื้อหาว่าใครเป็นผู้กระทำความผิด
“เรื่องคุณภาพของเหล็กที่ใช้ในการก่อสร้าง ถือเป็นเรื่องที่สังคมตั้งคำถาม และเป็นเรื่องที่กระทบต่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน ทำให้ดีเอสไอต้องลงรายละเอียดให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ส่วนกรณีที่ก่อนหน้านี้ได้มีพนักงานของบริษัทดังกล่าวได้พยายามทยอยขนแฟ้มเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างออกไปจากสถานที่เกิดเหตุนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ในทางสืบสวนต้องลงรายละเอียดอยู่แล้ว และหากมีพฤติการณ์ พยานหลักฐานที่เข้าเงื่อนไขตามประกาศ กคพ. (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2565 ก็สามารถรับไว้ดำเนินการเป็นคดีพิเศษได้ โดยไม่ต้องชงเรื่องเสนอบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.)” พ.ต.ต.วรณันกล่าว และว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ กรอบระยะเวลาการสืบสวน เราจะเร่งรัดดำเนินการให้รวดเร็วที่สุด
ขณะเดียวกัน นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำเอกสารหลักฐานเข้าร้องต่อดีเอสไอเพื่อให้ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ และดำเนินคดีกับบริษัทกิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี คือ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จํากัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จํากัด กับพวก และนอมินีทุนจีน กรณีมีส่วนก่อสร้าง สตง.
นายอัจฉริยะกล่าวว่า เมื่อต้นปี 2567 บริษัท ไชน่า เรลเวย์ ซึ่งเป็นบริษัทรัฐวิสาหกิจจากจีน ติดต่อมาที่ตนเองเพื่อจะว่าจ้างให้เป็นที่ปรึกษาบริษัท โดยบริษัทได้พูดเกี่ยวกับโครงการอาคาร สตง.และโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หนองคาย แต่เมื่อทราบว่าได้มีการจ่ายเงินใต้โต๊ะเป็นเงินสด 100 ล้านบาท ให้ผู้คุมงานโครงการอาคาร สตง.และใช้บริษัทนอมินีมาเป็นคนทำสัญญาในไทย เนื่องจากบริษัท ไชน่า เรลเวย์ ไม่มีคุณสมบัติในการรับงานหลวงของไทย แต่มีเงินทุนจำนวนมาก จึงมาร่วมลงทุนกับบริษัท อิตาเลียนไทยฯ ที่กำลังขาดสภาพคล่องทางการเงิน สิ่งเหล่านี้ทำให้รู้สึกว่ามีความไม่ตรงไปตรงมา จึงไม่ได้รับเป็นที่ปรึกษาให้
จี้สอบสวนกราวรูด
นายอัจฉริยะกล่าวต่อว่า วันนี้เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น และน่าเชื่อว่าขั้นตอนแต่ละขั้นตอนไม่น่าถูกต้อง จึงได้มาร้องทุกข์ดีเอสไอให้รับเป็นคดีพิเศษ และขอให้ดำเนินคดีกับบริษัทที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่บริษัทผู้รับจ้างก่อสร้าง, บริษัทผู้รับออกแบบ, บริษัทผู้ควบคุมงานก่อสร้างอาคาร, สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินในฐานะผู้ว่าจ้างก่อสร้าง, บริษัทผู้จำหน่ายเหล็ก และบริษัทผู้จำหน่ายปูนคอนกรีตในการก่อสร้าง รวมไม่ต่ำกว่า 10 บริษัท ให้ดำเนินคดีตามกฎหมายอาญา มาตรา 288 เจตนาเล็งเห็นผล, ความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค, ความผิดเกี่ยวกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม, ความผิดเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ หรือการฮั้วประมูล ซึ่งเป็นคดีที่จะเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษได้
“ผมเป็นวิศวกรโยธามานานกว่า 30 ปี จากที่เห็นลักษณะคอนกรีตหน้างาน มีลักษณะเปื่อยยุ่ย แตกง่าย มีการระเบิดของเสาคอนกรีต ที่คอนกรีตที่ยึดเกาะกับเหล็กบาง และคุณภาพเหล็กไม่ดี จนเกิดการระเบิดจากเสากลางลงมาเป็นชั้นๆ ดังนั้นหากดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ ก็ต้องส่งผู้เชี่ยวชาญไปตรวจสอบว่าค่ากำลังอัดของคอนกรีตได้ตามมาตรฐานหรือไม่ หากไม่ วิศวกรผู้คุมงานต้องรับผิดชอบด้วย และต้องไปดูตั้งแต่การออกแบบ ว่าผู้ออกแบบผิดพลาดหรือไม่ด้วย” นายอัจฉริยะกล่าว
วันเดียวกัน ที่ศาลเเขวงพระนครเหนือ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 1 ยื่นฟ้อง นายเจียง เซียงหมิง, นายเหวิน โบ๋ หนาน, นายเซียวเว่ย ลิว และนายเย่ห์ จิน เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน) กรณีเมื่อวันที่ 29 มี.ค.เข้าไปลักลอบขนเอกสาร ซึ่งเป็นแฟ้ม 32 รายการ ออกจากด้านหลังของอาคาร สตง.ที่พังถล่มลงมาโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจำเลยทั้ง 4 ให้การรับสารภาพ
ศาลพิจารณาคำฟ้องประกอบคำรับสารภาพเเล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 4 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 มาตรา 21 วรรคสอง (5), 36, 37, 49 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 2 เดือน และปรับคนละ 6 พันบาท จำเลยทั้ง 4 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 1 เดือน และปรับคนละ 3 พันบาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้ง 4 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี
ด้าน พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พร้อมคณะได้เรียก รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯ กทม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือวางแนวทางการเข้าเก็บพยานหลักฐานเพิ่มเติม และติดตามสาเหตุของอาคาร สตง.ถล่ม เนื่องจากกองพิสูจน์หลักฐานตำรวจยังไม่สามารถเข้าเก็บพยานหลักฐานได้ เพราะมีการขนซากเหล็กเส้น หรือวัตถุพยานอื่นๆ ออกไปจากบริเวณจุดใด จึงกังวลเรื่องของพยานหลักฐานที่อาจเสียหาย โดย พล.ต.ท.สยามระบุว่า กทม.ระบุว่ายังอยู่ในระหว่างการค้นหาผู้ประสบภัย และรื้อย้ายโครงสร้าง จึงเป็นห่วงในเรื่องความปลอดภัย ขอความร่วมมือให้รอทาง กทม.ส่งมอบพื้นที่ก่อน แต่ตำรวจจะเข้าไปเจรจาอีกครั้ง ส่วนสาเหตุที่เชิญ สตง.และกรมโยธาฯ ให้ข้อมูลนั้น เป็นเรื่องตรวจสอบการขออนุญาตก่อสร้าง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทบ.เดือดจัด ซัด‘เฮงรัตนา’ จอมลวงโลก
โฆษก ทบ.จี้นานาชาติจับตา “เฮง รัตนา” ผอ. CMAC กัมพูชา เผยแพร่ข้อมูลเท็จ บ่อนทำลายความไว้วางใจและสันติภาพในภูมิภาค ใช้จินตนาการปั้นแต่งเรื่องราวเพื่อหลอกลวงสังคมโลก
‘ราชินี’แรงบันดาลใจคนรุ่นใหม่
ในหลวงพระราชทานถ้วยรางวัลนักกีฬาเรือใบ “ภูเก็ตคิงส์คัพรีกัตต้า” ครั้งที่ 37 พระราชินีทรงแข่งเรือใบรอบชิงชนะเลิศ ทำให้เรือวายุมีคะแนนดีที่สุดในการแข่งขัน
‘อนุทิน’ล่องลงใต้ ขออภัยผมผิดเอง
"อนุทิน" นำคณะ ครม.ลงใต้อีกรอบ เตรียมตั้งกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติส่วนหน้า ที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12
พท.ขึงขังซักฟอก อ้างเหตุเพราะมีคนตายปากกล้าขาสั่นท้าไม่กลัวยุบสภา
พรรคเพื่อไทยจะเอาทุกอย่าง ซักฟอกดิสเครดิตรัฐบาลก่อนเลือกตั้ง บีบพรรคส้มตัดสินใจ เชื่อ "อนุทิน" ไม่ยุบสภา ไม่กระทบรัฐธรรมนูญ "สรวงศ์" ลั่น
รำลึกพ่อหลวงร.9 ในหลวง-พระราชินีทรงบำ เพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน
ในหลวง-พระราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพรัชกาลที่ 9 และสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เฉลิมพระนามพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมพระนราธิวาสราชนครินทร์ บดินทรเชษฐภคินี
นายกฯยังห่วงหาดใหญ่ ประเดิมพ.ย.เว้น‘ค่าไฟ’
"อนุทิน" รับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน นำประชาชนกลับบ้านแล้ว 90% “เท้ง” แซะบอร์ดมีไว้แค่ให้พาดหัว

