35อรหันต์ลุยสอบ13บริษัท

หวิดดรามา! "นายกฯ อิ๊งค์" ไปเยี่ยมให้กำลังใจญาติผู้ประสบภัยตึก สตง.ถล่ม เจอขวดน้ำตกใส่หน้ารถนายกฯ กระจกร้าว แถมโซเชียลซัดทีมงานนายกฯ พังเต็นท์ผู้พักคอย "โฆษกสำนักนายกฯ" รีบปัดไม่เกี่ยวข้อง "ภูมิธรรม" เผยนายกฯ ไฟเขียวสอบตึกถล่มเต็มที่ พบใครผิดฟันไม่เลี้ยง "ดีเอสไอ" รับคดีนอมินีบริษัทสร้างอาคาร สตง.เป็นคดีพิเศษแล้ว ตั้ง 35 อรหันต์ลุยสอบ ขยายผลฮั้วประมูล-สินค้าไม่ได้มาตรฐาน "ทวี" สั่งตรวจย้อน 10 โครงการ "ปชน." ขอเวลา 2-3 วันหาหลักฐานเพิ่ม มั่นใจโยงติดสินบน จนท.รัฐ "กมธ.ปกครอง" เรียก 5 หน่วยงานแจงระบบแจ้งเตือนแผ่นดินไหว "ปภ." ระบุเซลล์บรอดแคสต์ใช้ได้ ก.ค.นี้ "ชัชชาติ" ปรับแผนใช้เครื่องจักรหนักเข้ากู้ 14 ร่างใต้ซากตึก ลั่นไม่หยุดจนกว่าจะได้ผู้สูญหายครบ

 เมื่อวันที่ 2 เมษายน เวลา 09.43 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางลงพื้นที่บริเวณหน้าอาคารก่อสร้างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถนนกำแพงเพชร 2 ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุอาคารถล่มจากเหตุแผ่นดินไหว เข้าเยี่ยมและให้กำลังใจญาติผู้ประสบภัยที่เต็นท์พักคอยญาติผู้ประสบภัย โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที

โดยนายกฯ ได้สอบถามเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตจตุจักร เรื่องการดูแลศูนย์พักคอยดังกล่าว พร้อมพูดคุยสอบถามความเป็นอยู่ของญาติผู้ประสบภัยว่า ขอให้กินข้าวด้วย เดี๋ยวจะไม่สบาย ขณะที่ญาติผู้ประสบภัยระบุว่ากินไม่ค่อยได้ นอนไม่ค่อยหลับ

น.ส.แพทองธารกล่าวระหว่างเดินทางกลับว่า มาพูดคุยกับญาติ เมื่อถามว่าได้พูดคุยกับญาติผู้เสียหายอย่างไรบ้าง นายกฯ กล่าวว่า มาให้กำลังใจ ให้กินข้าวกินน้ำจะได้ไม่ป่วย  เรายังคงมีความหวังต่อไป ให้ดูแลตัวเอง จากนั้นนายกฯ เดินทางเข้าปฏิบัติหน้าที่ที่ทำเนียบรัฐบาล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า        ระหว่าง น.ส.แพทองธารลงพื้นที่พบญาติผู้ประสบภัยนั้น ได้เกิดเหตุการณ์มีขวดน้ำที่ใช้แขวนป้ายในจุดดังกล่าวร่วงใส่กระจกรถนายกฯ ยี่ห้อ Lexus เลขทะเบียน พพ 267 กรุงเทพมหานคร บริเวณด้านหน้า  ทำให้กระจกรถมีรอยร้าวเล็กน้อย แต่ไม่มีผู้ได้รับอันตรายแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ในโซเชียลได้มีการเผยแพร่ข้อความทำนองว่า ทีมงานนายกฯ ได้ทำเต็นท์พักคอยของญาติผู้ประสบภัยตึกถล่มขาด

ต่อมานายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าว โดยยืนยันไม่ได้เกี่ยวข้องกับทีมงานนายกฯ ทีมงานทุกคนตระหนักดีถึงความยากลำบากของเจ้าหน้าที่ทุกท่าน และสภาพจิตใจของญาติและครอบครัวผู้ประสบภัย

"การเดินทางไปของนายกฯ ไม่มีการแจ้งกำหนดการล่วงหน้า มีเพียงทีมงาน 5 คน ไม่มีกรณีกระทบกระทั่งกับบุคคลหรือเกิดความเสียหายต่อสิ่งของใดๆ ในพื้นที่" โฆษกประจำสำนักนายกฯ ระบุ

ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงการตรวจสอบการก่อสร้างตึก สตง.ว่า จะตรวจสอบหมด ทุกอย่างที่เป็นเงื่อนไขที่จะทำให้ทราบว่ามันเป็นปัญหา ตอนนี้เราทำงานประสานกันทุกส่วน กระทรวงอุตสาหกรรมจะเข้าไปตรวจสอบให้ลึกขึ้น เนื่องจากรอบแรกเป็นการตรวจสอบเฉพาะหน้าเกี่ยวกับเหล็กเส้น ซึ่งมีการพบเหล็กเส้นที่ไม่ได้มาตรฐาน

"เข้าใจว่าเขากำลังเตรียมการเข้าไปพิสูจน์ทราบในจุดที่เป็นปัญหาทั้งหมด ส่วนทางตำรวจกำลังทำคดี แต่ทั้งหมดยังไม่สามารถเข้าไปในอาคารได้ อยู่เพียงแค่ภายนอก ตอนนี้ทุกฝ่ายพยายามทำอย่างเต็มที่" นายภูมิธรรมกล่าว

 ถามว่า บริษัทจีนที่เป็นคู่สัญญามีการรับงานของหน่วยราชการถึง 11 แห่ง จะต้องมีการรื้อสัญญามาดูด้วยหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ยังไม่อยากลงรายละเอียดตรงนี้ แต่ตอนนี้ทุกฝ่ายกำลังพยายามทำอยู่ทุกเรื่อง เพราะนายกฯ สั่งการชัดเจนว่า อย่างไรก็ต้องเอาข้อเท็จจริงออกมาให้ได้ ใครเป็นคนผิดต้องดำเนินการอย่างเต็มที่ และให้พิสูจน์ทราบโดยเร็วด้วย ไม่ให้ทิ้งเวลาไป ซึ่งนายกฯ ได้สั่งการในที่ประชุม ครม. มอบให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องในทุกเรื่องทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่

35 อรหันต์คดีพิเศษสางตึก สตง.

ขณะที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พิจารณาคดีตึกถล่มเป็นคดีพิเศษ หลังพบ บจก.ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 เข้าข่ายความผิดเป็นนอมินีและเตรียมขยายผลฮั้วประมูลว่า ขณะนี้ทางดีเอสไอได้รับคดีอาคาร สตง.ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างถล่มเสียหายในเหตุการณ์แผ่นดินไหวเป็นคดีพิเศษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยใช้อำนาจของอธิบดีดีเอสไอเป็นความผิดท้ายพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษในการพิจารณา

ส่วน พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า  เมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้ใช้อำนาจอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษรับดำเนินการกรณีความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 หรือนอมินี ไว้เป็นคดีพิเศษที่ 32/2568 เรียบร้อยแล้ว รวมถึงได้มีการเซ็นแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษกว่า 35 ราย โดยมีทั้งในส่วนของกองคดีคุ้มครองผู้บริโภค กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่คดีพิเศษชำนาญการ เป็นต้น

พ.ต.ต.ยุทธนากล่าวว่า การตรวจสอบพบพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องความผิดทางอาญาที่อยู่ในอำนาจของดีเอสไอ อย่างน้อย 3 เรื่อง คือ 1.ความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 กำหนดไว้ว่ามีสินทรัพย์ตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งอยู่ในอำนาจของอธิบดีดีเอสไอ ที่จะรับเป็นคดีพิเศษได้ 2.ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 ว่าวัสดุต่างๆ ตรงสเปกหรือไม่ ซึ่งเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายคดีพิเศษ โดยมีเกณฑ์ว่ามูลค่าผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป และคาดว่าเกินกำหนด และ 3.ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 (ฮั้วประมูล) มีหลักเกณฑ์กำหนดไว้ว่า ถ้าวงเงินเสนอราคาตั้งแต่ 30 ล้านบาทขึ้นไป อยู่ในเงื่อนไขรับเป็นคดีพิเศษ และไม่ต้องใช้มติ กคพ. โดยรับคดีความผิดนอมินีเป็นคดีพิเศษสืบสวนสอบสวนไปก่อน ส่วนความผิดอื่นๆ สามารถสอบสวนได้ตามหลัง

"สำหรับคดีพิเศษเลขที่ 32/2568 โดยมี ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีดีเอสไอ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ พร้อม พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค และคณะทำงาน รวม 35 ราย จะมีการประชุมในวันที่ 3 เม.ย.เป็นครั้งแรก" พ.ต.ต.ยุทธนากล่าว

อธิบดีดีเอสไอกล่าวว่า การรับคดีนอมินีเป็นคดีพิเศษในชั้นนี้พบว่ามีมูล เพราะธุรกิจการก่อสร้างส่วนใหญ่นิติบุคคลก็จะอนุญาตให้จดทะเบียนคนต่างด้าวไม่เกินร้อยละ 49 และคนไทยร้อยละ 51 ก็ต้องพิสูจน์ว่าคนไทยเป็นนอมินีหรือถือหุ้นแทนหรือไม่ เบื้องต้นพบว่าคนไทยสถานภาพไม่สอดคล้องกับการจะมาถือหุ้นในธุรกิจบริษัทใหญ่ได้ ยังมีหลักฐานการลงนามเอกสารเซ็นสัญญากิจการร่วมค้าต่างๆ คนต่างด้าวดูมีอำนาจครอบงำกิจการ

"พบว่าคนไทยกลุ่มนี้ยังถือหุ้นกับบริษัทอื่นไม่ต่ำกว่า 3 บริษัทในเครือจากทั้งหมด 13 บริษัท โดยจะต้องตรวจสอบเส้นทางการจดทะเบียน ประกอบธุรกิจ กรรมการผู้ถือหุ้น และตรวจสอบย้อนหลังเกี่ยวกับกลุ่มบริษัทที่ได้งานประมูลโครงการภาครัฐและอื่นๆ ว่าเข้าข่ายฮั้วประมูลหรือไม่ ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการสืบสวนเบื้องต้นแล้ว พร้อมประสานข้อมูลร่วมกัน" อธิบดีดีเอสไอกล่าว

ถามถึงความผิดผลิตภัณฑ์ไม่ได้ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม พ.ต.ต.ยุทธนากล่าวว่า จะเน้นตรวจสอบเรื่องเหล็กเป็นหลัก โดยกระทรวงอุตสาหกรรมมีการพิสูจน์เบื้องต้นพบเหล็กบางยี่ห้อไม่ตรงสเปก ส่วนรายละเอียดอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานก่อน ส่วนคดีฮั้วประมูลนั้นมีความผิดหลายลักษณะ  แต่หลักเกณฑ์คือ การแข่งขันราคาอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งจะต้องสืบสวนข้อเท็จจริงจากคดีนอมินีก่อน

มีรายงานว่า ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า  บริษัทแห่งนี้ได้จดทะเบียนเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2561 โดยพบว่าบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย)  จำกัด มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท จำแนกเป็นสัดส่วนผู้ถือหุ้นสัญชาติไทย 51 ล้านบาท จำนวน 510,000 หุ้น สัดส่วน 51% เป็นบุคคล 3 ราย คือ 1.นายโสภณ มีชัย ถือหุ้น 40.7997% 2.นายประจวบ ศิริเขต ถือหุ้น 10.2% และ 3.นายมานัส ศรีอนันท์ 0.0003% ส่วนสัดส่วนผู้ถือหุ้นสัญชาติจีน 49 ล้านบาท จำนวน 490,000 หุ้น สัดส่วน 49% เป็นบุคคล 1 ราย คือ นายชวนหลิง จาง

ปชน.คุ้ยข้อมูลเชื่อโยงฟอกเงิน

ด้านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานคณะทำงานช่วยเหตุภัยพิบัติพรรค ปชน. กล่าวถึงการตรวจสอบเหตุการณ์ตึก สตง.ถล่มว่า มีหลายคนตั้งข้อสังเกตถึงขอบเขตงานประมูล การจัดซื้อจัดจ้าง ว่าถูกต้องตามระเบียบ หรือสมเหตุสมผลหรือไม่ บริษัทที่ชนะการประมูลมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นเป็นอย่างไร มีการนำเอานอมินีที่เป็นคนไทยเข้ามาถือหุ้น โดยที่ไม่มีบทบาททางการบริหารใดๆ หรือไม่

"ตอนนี้ยังกระจัดกระจาย จะจริงหรือเท็จ เกี่ยวหรือไม่เกี่ยว หรือแค่โยงใยโดยบังเอิญ เป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบ  หากไปกล่าวหาเลยจะไม่เป็นธรรม ต้องดูว่าผู้ถือหุ้นของบริษัทที่มีกิจการร่วมค้าและได้งานถือเป็นตัวจริงหรือไม่ หรือเป็นหรือเป็นนอมินี อยากใช้เวลา 2-3 วันเรียบเรียงประเด็นที่น่าสนใจ โดยนายสุรเชษฐ์ ประวีณวงค์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ติดตามงบประมาณ สภาฯ พร้อมที่จะดึงเอกสารงบประมาณของ สตง.มาตรวจสอบ" นายวิโรจน์กล่าว

นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. พรรคประชาชน  แถลงข่าวกรณีมีหลายโครงการรัฐที่ทำร่วมกับบริษัทจีนหรือไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ซึ่งเป็นผู้สร้างอาคาร สตง.พบปัญหาจากการก่อสร้างอาคารพักอาศัย โดยเฉพาะโครงการของการเคหะแห่งชาติ และยังมีกิจการร่วมค้ากับบริษัทที่มีปัญหาร่วมอยู่ด้วย แม้ว่าบางโครงการจะอาจจะเปลี่ยนผู้รับเหมามาเป็นผู้รับเหมาของไทย หรือผู้รับเหมาบริษัทอื่นแล้ว

นอกจากโครงการใหญ่ในกรุงเทพมหานคร ยังมีโครงการในจังหวัดอื่นอีก เช่นภูเก็ต ที่มีบริษัทนอมินีจำนวนมาก และพบว่าสายไฟไม่ได้คุณภาพที่มาจากประเทศจีน ไม่มีเครื่องหมายการรับประกันมาตรฐาน รวมถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าและอื่นๆ

ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 28 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง ซึ่งมีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน  รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง เป็นประธานการประชุม โดยก่อนเข้าสู่วาระการประชุมได้เปิดให้สมาชิกหารือปัญหาความเดือนร้อนในพื้นที่ ซึ่งวันนี้สมาชิกต่างหยิบยกเหตุการณ์แผ่นดินไหวมาหารือด้วย

นายปารมี ไวจงเจริญ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) หารือว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวนี้ เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องออกแบบวิชานี้ในโรงเรียน รวมถึงหลักสูตรอบรมระยะสั้น ระยะยาว สำหรับประชาชนทั่วไป โดยต้องเป็นความร่วมมือของทุกหน่วยงาน ให้เร่งสร้างวิชานี้ขึ้นมา

นอกจากนี้ ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การปกครอง สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายกรวีร์ ปริศนานันทกุล  สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย (ภท.) เป็นประธาน มีวาระพิจารณาศึกษาแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับระบบแจ้งเตือนภายใน กรณีเหตุภัยพิบัติกรณีศึกษาเหตุแผ่นดินไหว โดยเชิญ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา, อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.), เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาที่พบเจอเรื่องระบบแจ้งเตือนภัย รวมถึงการจัดทำระบบ Cell Broadcast

นายกรวีร์แถลงผลประชุมว่า การแจ้งเตือนยืนยันไม่สามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ แต่หากเกิดเหตุฉุกเฉินประเทศเราควรมีระบบแจ้งเตือนภัยให้ประชาชนได้รับทราบอย่างเร่งด่วนอยู่ดี และปัญหาที่เกิดขึ้นคือความล่าช้าการส่งเพราะส่งเป็นเอสเอ็มเอส เนื่องจากต้องมีการคัดเลือกเบอร์ที่จะส่งในพื้นที่ รวมถึงเมื่อเกิดเหตุขึ้นประชาชนจะใช้โทรศัพท์จำนวนมาก ซึ่งได้ข้อสรุปว่าจะมีการลดขั้นตอนในการแจ้งเตือนข้อความ หน่วยงานต่างๆ จะมีสถานะเหมือนเป็น 1 แอดมิน หน่วยงานใดที่ทราบว่าจะเกิดภัยพิบัติ จะมีอำนาจสามารถแจ้งขั้นตอนได้เอง โดย ปภ.เป็นเจ้าภาพของระบบนี้

"ยังมีการยืนยันว่าระบบเซลล์บรอดแคสต์จะเสร็จภายในเดือน ก.ค.แน่นอน โดยจะสามารถทดสอบระบบได้ในเดือนพ.ค. อย่างไรก็ตามคาดว่าภายใน 5 วันจะได้รับคำตอบจากแอปเปิลสหรัฐอเมริกา ว่าจะสามารถพัฒนาระบบเฟิร์มแวร์ได้หรือไม่" นายกรวีร์กล่าว

ปรับใช้เครื่องจักรหนักกู้ 14 ร่าง

ส่วนความคืบหน้าการค้นหาผู้ประสบภัยตึก สตง.ถล่มจากเหตุแผ่นดินไหวนั้น ในช่วงเช้าหลังเจ้าหน้าที่ประกาศให้เริ่มเปิดเส้นทางการจราจร ซึ่งเป็นวันแรกหลังจากเกิดเหตุอาคารถล่ม ทำให้ภาพรวมของวันนี้เริ่มมีรถทยอยใช้ถนนเส้นดังกล่าว ซึ่งสภาพโดยรวมสถานการณ์ยังคงเป็นไปด้วยความปกติ

นอกจากนี้ การค้นหาผู้สูญหายใต้ซากอาคารนั้น เจ้าหน้าที่ก็ยังคงใช้แผนเดิมและได้มีการใช้เครื่องจักรหนักในการช่วยค้นหา พร้อมทั้งมีรถเครนขนาดใหญ่ช่วยเสริมการทำงานในพื้นที่ ส่วนเรื่องการรื้อแผ่นคอนกรีตและซากปูนที่พังถล่ม  เจ้าหน้าที่ได้เร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้เกิดสภาพคล่องตัวในการปฏิบัติงาน

ในเวลา 16.15 น. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.  พร้อมด้วย รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯ กทม., นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษก กทม. ร่วมกันแถลงข่าวประจำวัน  โดยนายชัชชาติกล่าวว่า วันนี้เข้าสู่วันที่ 5 หลังจากเกิดเหตุการณ์ โดยเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้ยกชิ้นส่วนออกประมาณกว่า 100 ตันออกไปประมาณ 10 ชิ้น เพื่อเปิดช่องว่างให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยเข้าไปดูด้านใน โดยมีการเข้าไปค้นหาทั้งคืนจนพบร่างผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ร่าง นำออกมาได้ช่วงเช้าของวันนี้ และมีร่างที่ยังไม่สามารถนำออกมาได้อีกประมาณ 14 ร่าง ทั้งได้กลิ่น แต่อุปสรรคคือสิ่งกีดขวางด้านใน ทำให้ยังไม่สามารถนำร่างออกมาได้ ซึ่งตอนนี้จึงเริ่มมีการปรับแผนนำเครื่องจักรหนักเข้ามาช่วย เป้าหมายคือพยายามจะไปถึงปล่องลิฟต์และทางหนีไฟของตัวอาคารให้ได้ นอกจากนี้ยังใช้วิธีการมาร์กจุดว่ามีจุดไหนบ้างพบผู้เสียชีวิตและเป็นใคร

"สถานการณ์ตอนนี้จะเป็นการทำควบคู่กันไประหว่างปฏิบัติการช่วยเหลือและการรื้อถอน ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนแผนไปตามหน้างาน ซึ่งเมื่อวานนี้ (1 เม.ย.) ได้ใช้การช่วยเหลือสลับกับรื้อถอนที่โซน B และ C ด้านหลัง ส่วนวันนี้ เป็นโซน A, C และ D เราทำงานเต็มที่ และเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมาได้รับแจ้งว่าเหตุการณ์ที่เมียนมาพบผู้รอดชีวิต ดังนั้นในระยะเวลาหลังเกิดเท่ากัน ถ้าของเขาพบของเราก็ยังมีโอกาส แม้จะน้อยลง แต่ต้องพูดความจริงไม่โกหกตัวเอง โดยจะทำในทุกมิติที่ทำได้ตามหลักสากล" นายชัชชาติกล่าว

ถามว่า สังคมตั้งข้อสงสัยทำไมถึงไม่ใช้วิธีการยกเศษซากอาคารจากด้านบนลงมา ผู้ว่าฯ กทม.กล่าวว่า การรื้อเศษซากจากด้านล่างจะทำได้ไวกว่า เนื่องจากไม่มีอุปกรณ์เครื่องจักรหนักขนาดใหญ่และกำลังมากพอ ที่จะไปเริ่มรื้อถอนจากด้านบนที่อยู่สูง ซึ่งทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากต่างชาติยังบอกว่า  เคสนี้ซับซ้อนที่สุดที่เคยเจอ เพราะเป็นอาคารสูงและมีผู้ติดค้างอยู่มากพอสมควร แต่ก็ไม่ย่อท้อ จะทำตามแผนต่อไป อาจไม่ถูกใจบางคนต้องขอโทษด้วย แต่ทั้งหมดคือการไตร่ตรองร่วมกันของทุกทีมแล้ว โดยมีต่างชาติเป็นผู้แนะนำ และมีทีมไทยเป็นผู้ตัดสินใจ

"ต้องทำความเข้าใจกับญาติที่มีอาการตกใจเมื่อเห็นว่านำเครื่องจักรหนักเข้าไป ก็ต้องทำความเข้าใจกับญาติว่ายังไม่ได้หยุดค้นหา แต่เป็นการเร่งเปิดทางให้เร็วขึ้น ยืนยันไม่มีเดดไลน์ในการหยุดช่วยเหลือ แต่จะค่อยๆ เพิ่มการรื้อถอนให้มากขึ้นตามหน้างาน และจะค้นหาจนเจอจนครบ" ผู้ว่าฯ กทม.กล่าว

ถามประเด็นดรามา ที่เจ้าหน้าที่รถเครนที่มารอเข้าช่วยเหลือแต่ยังไม่ได้ทำงานนั้น นายชัชชาติกล่าวว่า จากที่ตนเข้าไปสอบถามแต่ละหน่วยงานยังไม่มีใครพูดอะไรเรื่องนี้ แต่เข้าใจเจ้าของรถเครนดังกล่าว ว่ายังไม่เข้าใจแผนการทำงานของเจ้าหน้าที่ ส่วนมากจะใช้รถเครนขนาดใหญ่ไม่กี่คันในการทำงาน

นายชัชชาติกล่าวว่า ในส่วนการตรวจสภาพตึกภายในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ขณะนี้ทีมงานวิศวกรของกรมโยธาธิการและผังเมือง และวิศวะอาสา ซึ่งได้ทำการเร่งตรวจสอบจากผู้ร้องผ่าน Traffy Fondue ซึ่งเป็นตึกทั้งหมด 9 ประเภท มีผู้ร้องกว่า 12,000 ราย โดยตอนนี้กำลังเร่งติดตามผลการตรวจสอบภายใน 2 สัปดาห์

วันเดียวกัน ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะฯ ตึกเอ ได้มีการแจ้งเตือนจากเจ้าหน้าที่อาคารว่า อาคารเกิดเสียงลั่น และสั่งอพยพคนออกจากอาคาร ทำให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายในตึกรีบวิ่งออกมาข้างนอก ต่อมาเจ้าหน้าที่ที่ดูแลอาคารได้ประกาศเสียงตามสายระบุว่า "จากการตรวจสอบข้อมูลจากกองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา มีการสั่นสะเทือน 3.0 ริกเตอร์ ที่ประเทศเมียนมา เวลา 09.19 น. ไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอาคาร ขอให้ทุกท่านสามารถปฏิบัติงานได้ตามปกติ".

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ทบ.เดือดจัด ซัด‘เฮงรัตนา’ จอมลวงโลก

โฆษก ทบ.จี้นานาชาติจับตา “เฮง รัตนา” ผอ. CMAC กัมพูชา เผยแพร่ข้อมูลเท็จ บ่อนทำลายความไว้วางใจและสันติภาพในภูมิภาค ใช้จินตนาการปั้นแต่งเรื่องราวเพื่อหลอกลวงสังคมโลก

‘ราชินี’แรงบันดาลใจคนรุ่นใหม่

ในหลวงพระราชทานถ้วยรางวัลนักกีฬาเรือใบ “ภูเก็ตคิงส์คัพรีกัตต้า” ครั้งที่ 37 พระราชินีทรงแข่งเรือใบรอบชิงชนะเลิศ ทำให้เรือวายุมีคะแนนดีที่สุดในการแข่งขัน

‘อนุทิน’ล่องลงใต้ ขออภัยผมผิดเอง

"อนุทิน" นำคณะ ครม.ลงใต้อีกรอบ เตรียมตั้งกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติส่วนหน้า ที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12

พท.ขึงขังซักฟอก อ้างเหตุเพราะมีคนตายปากกล้าขาสั่นท้าไม่กลัวยุบสภา

พรรคเพื่อไทยจะเอาทุกอย่าง ซักฟอกดิสเครดิตรัฐบาลก่อนเลือกตั้ง บีบพรรคส้มตัดสินใจ เชื่อ "อนุทิน" ไม่ยุบสภา ไม่กระทบรัฐธรรมนูญ "สรวงศ์" ลั่น

รำลึกพ่อหลวงร.9 ในหลวง-พระราชินีทรงบำ เพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน

ในหลวง-พระราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพรัชกาลที่ 9 และสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เฉลิมพระนามพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมพระนราธิวาสราชนครินทร์ บดินทรเชษฐภคินี