“บิ๊กเล็ก” ลั่นประชุมจีบีซีไทยต้องไม่เสียประโยชน์ รับสถานการณ์ยังเปราะบาง ชี้หากกัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงก็ไม่น่ากังวล "โฆษก ศบ.ทก." ระบุ 7 ส.ค. “มาเลย์-สหรัฐฯ-จีน” ร่วมสังเกตการณ์ประชุม "มทภ.2" ย้ำไม่ถอยทหารเพราะเป็นพื้นที่ของไทย “สุรสันต์” ปลุกประชาชนช่วยจับตาโดรน เผย ตร.เตรียมคุ้ยผู้ได้รับอนุมัติการบิน “ตระกูลฮุน” พาเหรดเรียกร้องไทยปล่อย 18 ทหาร “รมช.กห.” บอกต้องสอบสวนก่อนกลัว “เขมร” เอาไปใส่สีตีไข่ ศบ.ทก.กางอนุสัญญาเจนีวาอบรมเรื่องเชลยศึก จี้รีบขนศพทหารเขมรกลับบ้าน
เมื่อวันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม 2568 ถือเป็นวันแรกในการเริ่มหารือเพื่อกำหนดกรอบและตกลงหัวข้อการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา (จีบีซี) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 ส.ค.นี้ โดยคณะกองเลขานุการจีบีซีฝ่ายไทยเดินทางถึงมาเลเซียในช่วงเย็นของวันที่ 3 ส.ค.แล้ว โดย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า เราเตรียมการประชุมตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว และได้ส่งรายละเอียดให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เห็นชอบ โดยการประชุมคงใช้เวลา 3 วัน ซึ่งในวันที่ 6 ส.ค.ได้สั่งกองเลขาฯ ให้ประชุมแค่ครึ่งวัน เพื่อนำประเด็นกลับมาเข้าที่ประชุม สมช.อีกครั้งเพื่อผ่านความเห็นชอบ ส่วนในวันที่ 7 ส.ค.จะเดินทางไปสรุปและลงนามเพื่อความรอบคอบ
เมื่อถามว่า กรอบการเจรจาจีบีซีวางเป้าไว้จะได้ข้อสรุปในทิศทางใด พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า ทิศทางที่บรรยากาศดีขึ้น และประเทศไทยไม่เสียประโยชน์ ขอให้สื่อมวลชนและประชาชนมั่นใจได้ว่าเราจะทำอย่างเต็มขีดความสามารถ ซึ่งคณะที่ไปประกอบด้วยกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และผู้แทนเหล่าทัพทั้งหมด เพราะฉะนั้นการประชุมครั้งนี้จะผ่านการพิจารณาอย่างรอบด้านจากทุกฝ่าย ไม่ต้องกังวล เราไม่ได้ทำโดยพลการ ยืนยันว่ามีความรักชาติและเห็นแก่ประโยชน์ของชาติ
ถามว่า สถานการณ์ขณะนี้ยังเปราะบางหรือไม่ พล.อ.ณัฐพลยอมรับว่า ยังมีความเปราะบางจากข่าวปลอม โดยเฉพาะข่าวปลอมที่บอกให้ประชาชนอพยพออกจากพื้นที่ ทำให้กัมพูชาคิดว่าไทยเตรียมการสู้รบ เขาเลยเตรียมการบ้าง ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้น จึงอยากฝากสื่อมวลชนทำความเข้าใจกับประชาชนว่า ยามนี้เราต้องรวมใจเป็นหนึ่ง แค่ข่าวปลอมจากกัมพูชาเราก็ต้องแก้ปัญหากันทุกวันแล้ว มาเจอข่าวปลอมจากฝั่งไทยอีก ยอมรับว่าทำให้ฝ่ายความมั่นคงหนักใจมาก สถานการณ์แบบนี้สิ่งที่จะช่วยได้คือฟัง ศบ.ทก.เป็นหลัก ยอมรับว่าการชี้แจงของรัฐบาลอาจช้า ก็ยอมรับคำตำหนิ แต่เราต้องตรวจสอบให้ถูกต้อง ต้องไม่เสียเครดิตกันเองและนานาประเทศ ศบ.ทก.พูดอะไรก็ต้องใช่ หากเรารีบตอบแล้วปรากฏว่าไม่ใช่ก็จะขาดความน่าเชื่อถือ
“สื่อมวลชนช่วยได้ คือตอบไปก่อนเลยมาลีพูดอะไรมา สื่อโต้กลับไปเลย เพราะถ้าเป็นสื่อโต้ไปมันไม่มีผลอะไร เดี๋ยวเราแก้ได้ ช่วยกองทัพตอบโต้มาลีไปเลย และถ้า ศบ.ทก.ชี้แจง สื่อก็ให้การสนับสนุน ไม่ใช่ว่าพอมาลีพูดมา สื่อก็หันมาด่ากองทัพว่าทำไมไม่ตอบโต้ ซึ่งทำให้กองทัพขาดความน่าเชื่อถือ แล้วจะให้กองทัพไปตอบโต้คนแบบนั้น”
เมื่อถามว่า ประเมินสถานการณ์หลังการประชุมจีบีซีอย่างไรเพราะหลายคนกังวล พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า หากกัมพูชาเคารพผลประชุมจีบีซีก็ไม่น่ากังวล ยอมรับว่าประสบการณ์การรับราชการทหารมาตลอดชีวิตที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน เพิ่งเจอคู่กรณีที่ยากมาก พูดอย่างทำอย่าง แต่เชื่อว่าผลสรุปจากการประชุมจีบีซี จะให้เวทีการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (อาร์บีซี) พูดคุยกันต่อไป และขออย่าให้สื่อตำหนิว่าโยนภาระให้ทหาร กองทัพรู้ดีที่สุดว่าเรื่องไหนตัดสินใจได้ เช่นการวางหรือเพิ่มกองกำลัง การปฏิบัติการต่อการยั่วยุ ยํ้าว่าไม่ใช่โยนภาระให้กองทัพ เพราะบางเรื่องในการประชุมจีบีซี หากตกลงกันแล้วกองทัพอาจไม่สบายใจว่าทำไมไปตกลงกันแบบนี้ จึงต้องแบ่งความรับผิดชอบไม่ใช่การโยน
พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) กล่าวถึงการประชุมจีบีซีว่า ช่วงวันที่ 4-6 ส.ค.เป็นการประชุมของฝ่ายเลขานุการร่วมของฝ่ายไทยและกัมพูชา ไม่มีประเทศอื่นเข้าร่วม จากนั้นในวันที่ 7 ส.ค.จะประชุมจีบีซี ซึ่งเป็นการประชุมหลัก โดยจะมีผู้สังเกตการณ์ประชุมคือมาเลเซีย สหรัฐอเมริกาและจีนเข้าร่วม
กองทัพไม่ถอย
ส่วน พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าคุยเรื่องอะไรกัน แต่คาดหวังว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี หาข้อตกลงร่วมกันให้ดีที่สุด ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลสถานการณ์ชายแดนหลังวันที่ 7 ส.ค.จะตึงเครียดนั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของผู้นำทั้งสองประเทศจะเจอกันตรงจุดไหน หากยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกันก็จบง่าย ซึ่งตอนนี้ยังคาดเดาอะไรไม่ได้ว่าผลจะออกมาอย่างไร
เมื่อถามถึงประเด็นการถอนกำลัง พล.ท.บุญสินยืนยันว่า กองทัพไม่ถอย เพราะเรารุกในเขตพื้นที่อธิปไตยของเรา สำหรับการดูแลชายแดนไทย-กัมพูชา กองทัพทั้งสองประเทศได้ปฏิบัติตามข้อตกลงการหยุดยิง ซึ่งเราพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ยอมรับว่ามีปัญหาเรื่องโดรนไม่ทราบฝ่าย ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 ได้บูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้น รวมถึงการติดตามกลุ่มบุคคลที่ทำตัวเป็นสายลับและไส้ศึก แต่ยอมรับว่าบางพื้นที่นำโดรนขึ้นบินไม่ได้หวังผลอะไร ทำเพื่อต้องการก่อกวน
พล.ท.บุญสินยังกล่าวถึงกรณี พล.ท.หญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงการณ์อ้างทหารไทยพร้อมอาวุธละเมิดข้อตกลงจุดยิงด้วยการบุกช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี ว่าเรายึดช่องอานม้าได้ก่อนมีมติหยุดยิง เพราะฉะนั้นเป็นพื้นที่ที่เราต้องควบคุมไว้อยู่แล้ว และเป็นเส้นเขตแดนของไทย
ที่ประเทศมาเลเซีย เวลา 13.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) พลเอก โมฮัมหมัด นิซาม จาฟฟาร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซีย ได้พบปะกับกองเลขานุการ GBC ฝ่ายไทย นำโดยเจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร และกองเลขานุการ GBC ฝ่ายกัมพูชา ณ สโมสรนายทหารกองบัญชาการกองทัพมาเลเซีย (Malaysian Armed Forces Officers Mess) ในการนี้ พลเอก โมฮัมหมัด นิซาม จาฟฟาร์ ได้กล่าวต้อนรับคณะ และกล่าวว่าตนพร้อมให้การสนับสนุนการประชุมให้เป็นไปด้วยดี และคาดหวังว่าการประชุมในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จด้วยดี
ต่อมาเวลา 15.00 น. ฝ่ายเลขานุการของการประชุม GBC ฝ่ายไทยได้นำเสนอประเด็นที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงให้ทางฝ่ายกัมพูชาพิจารณาแล้ว และจะหารือกันต่อในวันถัดไป ซึ่งสำหรับฝ่ายไทยได้ดำเนินการประชุมต่อเพื่อหารือในประเด็นอื่นเพิ่มเติม
ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกฯ กล่าวถึงกรณีพบโดรนบินรุกล้ำแนวชายแดนไทยหลังจากออกประกาศห้ามบินโดรนทั่วประเทศว่า ก็เหมือนที่เราประกาศว่าห้ามมีโจรผู้ร้าย แต่โจรผู้ร้ายก็ยังทำอยู่ เราก็มีหน้าที่ติดตามจับกุม และได้สั่งการไปยัง พล.ท.บุญสินแล้วตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค.ให้ประชุมร่วมกับ ผวจ. 10 จังหวัด ซึ่งก็ว่ากันไปและเป็นเรื่องของพื้นที่ ส่วนอำนาจจัดการดำเนินการก็มีหลายภาคส่วน
ขณะที่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวเรื่องนี้ว่า ขณะนี้ยังปนกันอยู่ระหว่างโดรนไทยและกัมพูชา แต่จำนวนมากเป็นของกัมพูชาที่บินลํ้าเข้ามา ซึ่งเราได้บันทึกไว้หมดแล้ว และจะนำเรื่องนี้หารือในที่ประชุม ศบ.ทก. เรามีพิกัดที่ลํ้าเข้ามา ขอไม่พูดรายละเอียด เพราะได้มอบให้กองทัพอากาศเป็นเจ้าภาพเรื่องนี้
ส่วนกรณีโลกออนไลน์แห่แชร์ข้อมูลว่า พบโดรนลึกลับตกที่ จ.สุรินทร์ ในคืนวันที่ 3 ส.ค.นั้น พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า โดรนดังกล่าวเป็นของฝ่ายเรา ขึ้นบินตรวจการณ์และทดสอบระบบบริเวณ อ.เมืองสุรินทร์ แต่ต้องลงเร่งด่วนเนื่องจากสภาพอากาศ
พล.ต.วินธัยกล่าวอีกว่า ช่วงสัปดาห์นี้ตรวจพบการบินโดรนในลักษณะการบินตรวจการณ์ ไม่มีการใช้โดรนบินเพื่อการทำลาย แต่ในแง่ความมั่นคงอะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ จึงต้องเฝ้าระวังทั้งพื้นที่ทางทหารและส่วนราชการอื่นๆ ส่วนการตรวจสอบการใช้โดรนผิดปกติ พบว่าอาจไม่ได้เป็นการบังคับใช้งานมาจากฝั่งกัมพูชา แต่เป็นการใช้เครือข่ายที่หลบเลี่ยงเจ้าหน้าที่ และแอบมาใช้ในพื้นที่ตอนในของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพยายามที่ไปใช้ในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงที่ตั้งหน่วยทหาร ไม่ว่าจะเป็นของกองทัพบกหรือกองทัพอากาศ หรือที่ตั้งสำคัญอื่นๆ ทำให้ช่วงนี้ต้องมาให้ความสำคัญกับสิ่งนี้
ปลุก ปชช.ช่วยจับโดรน
พล.ร.ต.สุรสันต์กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการตรวจพบการบินโดรนโดยผิดกฎหมายจำนวนมาก โดยปัจจุบันสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศห้ามบินโดรนทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค. ถึงวันที่ 15 ส.ค. โดยผู้ฝ่าฝืนจะต้องระวังโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยขอเชิญชวนประชาชนช่วยกันตรวจสอบ โดยเฉพาะในพื้นที่ของทัพภาคที่ 1, ทัพภาคที่ 2 สอดส่องดูว่ามีผู้ไม่ประสงค์ดี หรือประสงค์ร้ายดำเนินการพฤติกรรมดังกล่าวหรือไม่ ทั้งนี้หากตรวจพบขอให้แจ้งไปที่ศูนย์ต่อต้านโดรน หรือศูนย์แจ้งเหตุใกล้พื้นที่ เช่นสถานีตำรวจท้องที่ หน่วยทหาร หรือหน่วยความมั่นคงที่รับผิดชอบในพื้นที่นั้นๆ
“มาตรการเชิงรุกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) จะลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบการครอบครองโดรนทั่วประเทศ โดยจะตรวจสอบผู้ที่ได้รับใบอนุญาตบิน ข้อมูลของผู้ขออนุญาตใช้ความถี่ เพราะปัจจุบันไม่อนุญาตให้บินโดรนใดๆ ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเชิงพาณิชย์หรือเชิงการเกษตร” โฆษก ศบ.ทก.กล่าว
มีรายงานว่า เมื่อช่วงเวลา 03.00 น. สารวัตรทหาร ได้ควบคุมตัวชาวกัมพูชาที่บังคับโดรนบินเหนือที่ตั้งหน่วยทหารภายในกองบิน 5 เบื้องต้นทราบชื่อคือ นายเร เดินเข้ามาทางด่านบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี โดยนำกล่องลักษณะสีดำขนาด 3x3 นิ้ว คาดว่าจะเป็นกล่องจีพีเอสนำมาวางทิ้งไว้
ขณะที่นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ และกรรมการศูนย์ ศบ.ทก. กล่าวถึงภาพรวมสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาว่ายังคงเป็นปกติ ไม่มีรายงานเหตุการณ์รุนแรงในทุกพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 23 ก.ค.ที่ฝ่ายกัมพูชาได้ลอบวางทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดน และมีเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบระเบิด และกัมพูชาได้ใช้อาวุธสงครามหลายจุดตลอดแนวชายแดน ส่งผลจนถึงปัจจุบันยังมีวัตถุอันตรายและวัตถุต้องสงสัยตกหล่นอยู่ ขอให้ประชาชนชะลอการเดินทางกลับที่พัก โดยเฉพาะที่ จ.สุรินทร์และศรีสะเกษ ขอให้ตรวจสอบกับนายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านเพื่อความปลอดภัย
“กองทัพได้จัดชุดทำลายล้างวัตถุระเบิด หรืออีโอดีเข้าตรวจสอบเพื่อทำลายวัตถุระเบิดที่ยังตกค้าง ซึ่งได้ทำลายไปแล้ว 17 พื้นที่ คงเหลือ 63 พื้นที่”
นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กล่าวว่า ที่ผ่านมาเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ของไทยทั่วโลก รวมถึงผู้บริหารระดับสูง กต.ได้ใช้โอกาสต่างๆ ชี้แจงข้อเท็จจริง และจุดยืนของไทยผ่านช่องทางการทูต และเวทีโลกที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากรายงานของทูตไทยทั้งหลายที่ผ่านมาทราบว่า การดำเนินงานของฝ่ายไทยได้รับการตอบรับด้วยดีจากมิตรประเทศต่างๆ ที่ได้แสดงความเห็นใจ และสนับสนุนแนวทางการดำเนินการของฝ่ายไทย
ทั้งนี้ เมื่อช่วงเช้า กต.ได้เชิญเอกอัครราชทูต หรือผู้แทนจาก 74 ประเทศ และ EU รวมทั้งผู้แทนองค์การระหว่างประเทศประจำประเทศไทยอีก 16 องค์การ รวม 121 คน เข้ารับฟังสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดย กต.ได้ไล่ลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มจนถึงหยุดยิงที่กัมพูชาไม่ได้ปฏิบัติตาม รวมทั้งการใช้สงครามข่าวสารบิดเบือนข้อมูล รวมถึงแนวทางปฏิบัติของไทย
วันเดียวกัน สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊กว่า หลังจากพักผ่อนมา 2 ชั่วโมงกว่าได้กลับมาประจําการตรวจสอบสภาพแนวหน้าเพื่อดําเนินการหยุดยิงอย่างต่อเนื่อง และเสริมสร้างการป้องกันตัวเองจากเสียงปืน และได้หารือกับนายกฯ เพื่อขับเคลื่อนให้กาชาดสากลทําหน้าที่ติดต่อกองทัพกัมพูชา 18 นาย ที่ไทยระดมทัพไปจับมาหลังจากการตกลงเลิกยิง อะไรคือเหตุผลที่ทําให้ไทยไม่ยอมมอบทหารกัมพูชา 18 นายให้กัมพูชา
นายฮุน มาเนต นายกฯ โพสต์เฟซบุ๊กเช่นกันว่า รัฐบาลกัมพูชายังเฝ้าระวังความปลอดภัยของทหารกัมพูชา 18 นาย ที่เจ้าหน้าที่ทหารไทยควบคุมตัวไปตั้งแต่วันที่ 29 ก.ค. และกําลังดําเนินมาตรการที่จําเป็นเพื่อให้แน่ใจว่า จะมีการปล่อยทหารกัมพูชาโดยเร็วที่สุดและปลอดภัย โดยได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ ผ่านภารกิจถาวรของกัมพูชาของสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศในเจนีวา โดยทํางานร่วมกับคณะกรรมการสภากาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) เพื่อผลักดันให้มีการปล่อยตัวโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และมอบหมายให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชาทํางานกับสํานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนระดับสูง (OHCHR) คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชน (AICHR) และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไทย เพื่อผลักดัน 18 ทหารกัมพูชากลับบ้านเกิด
ยัน 18 เชลยศึกอยู่ดี
พล.อ.ณัฐพลกล่าวเรื่องนี้ว่า เราควบคุมอย่างดีตามอนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 1 และได้ให้คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศเข้าไปดูแล้ว ซึ่งเขาก็พอใจ แต่เป็นห่วงว่ามีประชาชนบางส่วนไม่สบายใจว่าเราเป็นสุภาพบุรุษเกินไป แต่สิ่งนี้จะทำให้เราอยู่ได้ ไม่ถูกตำหนิจากนานาประเทศ
“เราดูแลอย่างดีเพราะต้องสอบสวน แต่หากมีความไว้ใจกัน 100% คงส่งกลับได้เร็ว แต่ขณะนี้มีความไม่ไว้ใจ มีการบิดเบือนทุกวัน เพราะฉะนั้นต้องสอบสวนเพื่อบันทึกข้อมูลหลักฐานให้ครบถ้วนรอบด้าน ต้องมาคิดว่าหากส่งกลับไปแล้วเขาจะบิดเบือนอย่างไร และจะตอบกลับอย่างไร ยืนยันว่าจะไม่ทำให้เขาได้รับผลกระทบทั้งร่างกาย จิตใจ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเด็ดขาด” พล.อ.ณัฐพลกล่าว
พล.ร.ต.สุรสันต์กล่าวว่า ได้มีการควบคุมตัวเชลยศึกจำนวน 20 นาย ได้ส่งกลับไปแล้ว 2 นาย เนื่องจากบาดเจ็บ 1 นาย และป่วยเป็นจิตเวช 1 นาย ปัจจุบันอยู่ในการควบคุม 18 นาย แต่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของกัมพูชาได้ส่งคำร้องไปยังสำนักข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR ) โดยกล่าวหาว่าฝ่ายไทยควบคุมตัวทหารกัมพูชา ซึ่งผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ถือเป็นความพยายามที่บิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง ฝ่ายไทยขอประณามเรื่องการบิดเบือนในเรื่องนี้
“สภาวะของการรบนั้นสิ้นสุดลง หน้าที่ของประเทศที่ควบคุมตัวเชลยศึกก็จะปล่อยตัวกลับประเทศ ซึ่งปัจจุบันนี้สถานะนั้นยังไม่สิ้นสุดลง เพราะแค่หยุดยิงนั้นไม่ถือว่าเป็นการสิ้นสุดสภาวะการขัดกันด้วยอาวุธ โดยการปฏิบัติที่ผ่านมาเรายังควบคุมตัวไว้ทั้งหมด 18 นาย”
พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า กำลังพลฝ่ายกัมพูชาที่ยอมจำนนและอยู่ในการควบคุมของฝ่ายไทย ได้รับการรับรองสถานะตามกฎหมายระหว่างประเทศว่าเป็นเชลยศึกตามข้อบทแห่งอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 ซึ่งไทยและกัมพูชาเป็นรัฐภาคีร่วมกัน และจะถูกส่งกลับเมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งด้วยอาวุธยุติลงโดยสมบูรณ์ตามข้อกำหนดในอนุสัญญาเจนีวา
ขณะเดียวกัน เพจสำนักโฆษกกระทรวงกลาโหมได้เผยแพร่ข้อมูลการช่วยเหลือของฝ่ายไทยที่มีต่อชาวกัมพูชาในยุคเขมรแดง จากคนที่หนีตายสู่คนที่หันปากกระบอกปืนกลับมา เมื่อเขมรลืมทุกอย่างที่ไทยเคยมอบ ก่อนทิ้งท้ายว่าแต่ในเวลาต่อมาใครจะคิดว่าเพียงไม่กี่สิบปีเขมรกลับลืมทุกอย่าง
พล.อ.ณัฐพลยังกล่าวถึงศพทหารกัมพูชาที่เสียชีวิตในแนวหน้าว่า ได้ยํ้ากับ รมว.กลาโหมของกัมพูชาว่า ทหารกัมพูชาเสียชีวิตจำนวนมากและยังไม่ได้รับการเก็บกลับไป จึงแจ้งไปว่าให้เก็บศพกลับไปให้ถูกต้องตามสุขลักษณะ และให้สมเกียรติสมศักดิ์ศรีความเป็นทหาร
พล.ร.ต.สุรสันต์กล่าวว่า การปฏิบัติที่ผ่านมาเราได้เล็งเห็นว่า การปฏิบัติต่อศพของฝ่ายกัมพูชาได้มีการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน มนุษยธรรมสากลขั้นพื้นฐาน คือการทอดทิ้งร่างผู้เสียชีวิต โดยเฉพาะทหารของตนเอง ไม่ใช่เพียงการขัดต่อหลักศีลธรรม แต่ยังเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างชัดเจน โดยอ้างอิงหลักอนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 1 และฉบับที่ 4 ว่าด้วยการเก็บรักษาและเคารพร่างผู้เสียชีวิตจากการสู้รบ
“กัมพูชานับถือศาสนาพุทธ การที่ไม่จัดการศพของทหารตนเองถือเป็นการละเมิดหลักศาสนาและขนบธรรมเนียมอันศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ” พล.ร.ต.สุรสันต์กล่าว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา
แบบพระเมรุมาศเสร็จม.ค. สานพระราชปณิธานผ้าไทย
"อธิบดีกรมศิลป์" เผยแบบก่อสร้างพระเมรุมาศ “พระพันปีหลวง” แล้วเสร็จ ม.ค.69
หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.
"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.


