หนูเด้งรับศาลลุยรื้อรธน. ส้มจี้ประชามติทัน4เดือน

มติเสียงข้างมากศาลรัฐธรรมนูญชี้รัฐสภามีอำนาจริเริ่มแก้ รธน.ฉบับใหม่ได้ แต่ต้องถาม ปชช.ก่อน โดยต้องทำประชามติรวม 3 ครั้ง  แต่รอบแรกกับสองรวมกันได้ “อนุทิน” เริ่มสตาร์ทตั้ง “ไชยชนก” นำทีมศึกษา "ปชน." จี้ "ภท." ชงร่างเข้าสภาด่วนไม่เกินสัปดาห์หน้า ลุยประชามติรอบแรกทัน 4 เดือนยุบสภา ขู่เบี้ยวเจอล้มรัฐบาลแน่ “นิกร” เตือนระวังการตั้งคำถามประชามติ ชี้ถามให้มี ส.ส.ร.จากเลือกตั้งตามข้อตกลง MOA  ไม่ได้ ขัดมาตรา 166

เมื่อวันที่ 10 กันยายน ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 2 วินิจฉัยว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 รัฐสภามีอำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่เสียก่อน ทั้งนี้ การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติ หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ของรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งรัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง

ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากประธานรัฐสภาส่งความเห็นของสมาชิกรัฐสภา ในคราวประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 6 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เมื่อวันจันทร์ที่ 17 มี.ค.68 ซึ่งพิจารณาญัตติด่วนที่นายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้เสนอให้รัฐสภาพิจารณาและที่ประชุมรัฐสภามีมติเห็นด้วยส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ตามญัตติที่เสนอ

นอกจากนี้ ตุลาการเสียงข้างมาก 6 ต่อ 1 ยังวินิจฉัยว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องมีการจัดให้มีการออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่, ครั้งที่ 2 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่ามีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร และครั้งที่ 3 ภายหลังรัฐสภาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ โดยการออกเสียงประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้

ที่พรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องปรึกษากับสมาชิกรัฐสภาว่ามีความเห็นอย่างไร ขออ่านรายละเอียดและสอบถามข้อมูลก่อน

เมื่อถามว่า ระยะเวลา 4 เดือน จะเป็นเงื่อนไขให้ยืดเวลาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เสร็จตามที่ตกลงไว้หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า เป็นคนละเรื่องกัน ส่วนในการประชุม ครม.นัดแรก จะตั้งไข่เรื่องทำประชามติเลยหรือไม่นั้น ทุกอย่างมีไทม์ไลน์ของมันอยู่แล้ว

ต่อมานายอนุทินในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานเตรียมการพิจารณาการจัดทำประชามติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยเร็ว ดังนี้ 1.นายไชยชนก ชิดชอบ เป็นหัวหน้าคณะทำงาน 2.นายภราดร ปริศนานันทกุล รองหัวหน้าคณะทำงาน 3.นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ 4.นายวรศิษฎ์ เลียงประสิทธิ์ 5.น.ส.พิมพฤดา ตันจรารักษ์ 6.นายธนิศร์ ศรีประเทศ เลขานุการ

โดยให้มีหน้าที่และอำนาจ 1.ศึกษากระบวนการในการจัดทำประชามติตามรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ประกอบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อเพิ่มช่องทางที่จะนำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ 2.จัดทำรายละเอียดให้ชัดเจนในกระบวนการและยกร่างกรอบระยะเวลาที่ต้องดำเนินการแต่ละขั้นตอนในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อที่จะนำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง 3.พิจารณายกร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อที่จะนำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยรัฐสภา 4.ให้เสนอคณะกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยพิจารณาโดยเร็ว  5.อื่นๆ ที่ได้รับมอบหมาย 6.หากมีปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานที่ไม่อาจแก้ไขได้ให้รายงานให้หัวหน้าพรรคทราบทันที

ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านฯ ในฐานะหัวหน้าพรรค แถลงถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเรื่องกระบวนการจัดทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า การจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดย ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นเงื่อนไขที่ถูกระบุไว้อย่างชัดเจนในข้อตกลง MOA ที่พรรคประชาชนได้จัดทํากับพรรคภูมิใจไทย วันนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า กระบวนการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องมีการทําประชามติทั้งหมด 2 รอบ ได้แก่ ประชามติรอบที่ 1 เพื่อสอบถามประชาชนพร้อมกันใน 2 ประเด็น คือ 1.1 เห็นด้วยหรือไม่ ว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และ 1.2 เห็นด้วยหรือไม่ กับวิธีการและเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 ที่รัฐสภาเห็นชอบประชามติรอบที่ 2 เพื่อสอบถามประชาชนว่า เห็นด้วยหรือไม่ กับร่างรัฐธรรนมูญฉบับใหม่

ดังนั้น หลังจากนี้พรรคประชาชนเห็นว่า เราควรเดินหน้าสู่การจัดทําประชามติรอบที่ 1 พร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นจากการยุบสภาภายใน 4 เดือน หลัง ครม.ใหม่เข้าปฏิบัติหน้าที่  ซึ่งจะกระทําการได้หลังจากที่รัฐสภาพิจารณา และให้ความเห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 เพื่อเพิ่มกลไกในการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่

พรรคประชาชน จึงมีข้อเสนอต่อรัฐบาลชุดใหม่ และเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดําเนินการดังนี้ 1.สส.จากแต่ละพรรคการเมือง ควรยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 เข้าสู่รัฐสภาโดยเร็ว ซึ่งไม่ควรเกินสัปดาห์หน้า เพื่อให้สามารถดําเนินการจัดทําประชามติรอบที่ 1 ได้ทัน พร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นหลังยุบสภาภายใน 4 เดือน ณ ปัจจุบัน สส.พรรคประชาชนและ สส.พรรคเพื่อไทยได้ยื่นร่างต่อประธานรัฐสภา และถูกบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภามาก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้น พรรคภูมิใจไทยในฐานะพรรคแกนนํารัฐบาล ควรรวบรวมเสียง สส.รัฐบาล เพื่อยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 ของตนเองเข้าสู่รัฐสภาโดยเร็ว ซึ่งควรมีเนื้อหาที่เป็นการเสนอให้มี ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งตามข้อตกลง และ 2.สส.จากแต่ละพรรคการเมือง ควรร่วมกันผลักดันให้มีการเปิดประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 ในวาระที่ 1 ภายในเดือน ก.ย. โดยไม่จําเป็นต้องรอการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา ทั้งนี้ หากพรรคภูมิใจไทยมีการบิดพลิ้ว เราพร้อมใช้ 143 เสียงล้มรัฐบาลทันที และกำกับทิศทางรัฐบาลให้เป็นไปตามข้อตกลงมากที่สุด

ในช่วงค่ำ นายอนุทินย้ำถึงคำมั่นสัญญาว่า จะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงกันไว้กับพรรคประชาชน ซึ่งในส่วนของการจัดทำประชามติครั้งที่ 1 พร้อมกับการเลือกตั้งที่จะถึงเร็วๆ นี้ แทบไม่มีอะไรต้องกดดัน เมื่อครบระยะเวลา 4 เดือนปุ๊บ ยุบสภาทันที และหลังยุบสภาก็ไม่มีใครมากดดันอะไรทั้งนั้น ทั้งนี้เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของสภา ภายใน 4 เดือนถ้าทำได้ จะเป็นไปตามขั้นตอน แต่ถ้าทำไม่ได้ต้องค้างเอาไว้ก่อน จากนั้นยุบสภาก่อนจะมีการเลือกตั้งใหม่ และทุกคนต้องชี้แจงให้พี่น้องประชาชนฟังว่าแต่ละพรรคมีแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร

ด้านนายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะอดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่..) พ.ศ..... กล่าวว่า ขอเสนอให้มีความระมัดระวังในการดำเนินการตั้งคำถามให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 166 ที่บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร คณะรัฐมนตรี (ครม.) จะขอให้มีการออกเสียงประชามติในเรื่องใดอันมิใช่เรื่องที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับตัวบุคคลหรือคณะบุคคลใดก็ได้

ทั้งนี้ หาก ครม.ตั้งคำถามประชามติเกี่ยวกับการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับใหม่ โดยให้มี ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งลงไปในคำถามประชามติด้วย ตามข้อตกลง MOA ข้อ 2 ของการจัดตั้ง ครม.ชุดนี้ เห็นว่าไม่สามารถกระทำได้ เพราะขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 166 เพราะในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) บัญญัติไว้ และที่สำคัญคำวินิฉัยของศาลรัฐธรรมนูญชี้ชัด รัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่ไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง ซึ่งกรณีนี้ยังเห็นว่าอาจสามารถจะมี ส.ส.ร.ได้ แต่ต้องมีการเลือกตั้งโดยอ้อมเหมือนการจัดทำรัฐธรรมนูญปี 2540

"หาก ครม.หรือทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังฝืนที่จะตั้งคำถามประชามติเกี่ยวกับการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับใหม่โดยให้มี ส.ส.ร.ลงไปในคำถามประชามติด้วย อาจถูกร้องว่าเป็นการกระทำที่มีพฤติการณ์อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงได้"  นายนิกรกล่าว และว่า การตั้งคำถามประชามติควรยกเว้นการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 ไว้ เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง

นายนิกรกล่าวด้วยว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 จำนวน 3 ร่าง ที่ค้างอยู่ในวาระของการประชุมรัฐสภา จำเป็นต้องถอนออกมา เพราะพิจารณาต่อไปไม่ได้ เพราะไม่ได้ทำประชามติถามประชาชนเสียก่อน และในเนื้อหาของมาตราก็มีการบัญญัติให้ ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาในวันนี้โดยตรง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.