เฮ!รัฐมนตรีคนนอก เชื่อเป็นปัจจัยบวก!

นักวิชาการหนุนรัฐมนตรีเศรษฐกิจคนนอก ชี้เป็นปัจจัยบวกเชิงสัญลักษณ์ต่อการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน แต่จุดชี้ขาดคือความเป็นอิสระในการทำงาน แนะรัฐบาลประกาศแผนเร่งด่วน ขีดเส้น 4 เดือน “สร้างความมั่นใจ-ลดภาระค่าครองชีพ-ชัดเจนนโยบายทรัมป์”

เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2568 ผศ.ดร.ธันยพร  สุนทรธรรม อาจารย์คณะวิทยาลัยสหวิทยาการ  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และผู้อำนวยการสถาบันอาณาบริเวณศึกษา (TIARA) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการประยุกต์ใช้เทคนิคการมองอนาคต (Foresight and Futures Studies)  เปิดเผยว่า สิ่งที่ประชาชนเฝ้าติดตามมากที่สุดและเป็นบทพิสูจน์ของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล คือการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งการดึงบุคคลภายนอกที่มีความรู้ความสามารถและมีประสบการณ์ในการบริหารเศรษฐกิจมาร่วมรัฐบาลในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถือเป็นปัจจัยบวกเชิงสัญลักษณ์ต่อการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ภาคเอกชน ภาคธุรกิจ ตลอดจนภาคประชาชนเป็นอย่างมาก ส่วนตัวมองว่าฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่มีหน้าตาสวย แต่จะสร้างผลงานได้มากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับความเป็นอิสระ และการเปิดโอกาสให้เขาเหล่านั้นสามารถทำงานได้ตามความคิดของเขา

นักวิชาการจาก มธ.ผู้นี้กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลควรเร่งทำคือการประกาศแผนงานระยะเร่งด่วน  (Quick wins) ให้ชัดเจนว่าในระยะ 4 เดือนนี้ ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลจะสามารถดำเนินการอะไรได้บ้าง ซึ่งต้องเป็น Quick wins ที่เกิดจากการวางแผนร่วมกันแบบสอดประสานกันของกระทรวงที่รับผิดชอบนโยบายเศรษฐกิจ ได้แก่ กระทรวงการคลัง   กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม  กระทรวงพลังงาน โดยสิ่งที่คาดหวังในเดือนแรก คือการประกาศความพร้อมของคณะทำงานในแต่ละกระทรวงด้านเศรษฐกิจ ว่าจะสามารถสอดประสานการทำงานร่วมกันแบบข้ามกระทรวงได้ โดยไม่แบ่งแยกต่างฝ่ายต่างทำกันไปแบบเดี่ยวๆ  พร้อมกับการเร่งประกาศนโยบายลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน รวมไปถึงการฉายภาพให้เห็นถึงมาตรการที่ชัดเจนในการรับมือกับเรื่องภาษีทรัมป์

ส่วนเดือนที่สอง รัฐบาลควรให้ความสำคัญไปที่การช่วยเหลือ บรรเทาแรงกดดันให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) สามารถเดินต่อไปได้ หรือจะเป็นการเร่งออกมาตรการอำนวยความสะดวกให้โครงการลงทุนใหม่ๆ เช่น การตั้งโรงงาน การตั้งนิคมอุตสาหกรรม การนำเข้าเทคโนโลยีเครื่องจักร ฯลฯ ขณะที่เดือนที่สาม ควรมุ่งเน้นความสำคัญไปที่การสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนต่างชาติ โดยจัดทำกิจกรรมการเชิญชวนการลงทุน (Investment Roadshow) ดึงการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ Next Gen เช่น อุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูล (Data Center) ฯลฯ

“ระยะเวลาเพียงแค่ 4 เดือน คงไม่สามารถทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจที่จะลงทุนในทันที แต่อย่างน้อยก็สร้างแรงบันดาลใจเริ่มต้นให้เกิดการหันมามองโอกาสและความเป็นไปได้ของประเทศไทยมากขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าในช่วงแรกรัฐมนตรีคนนอกอาจต้องใช้เวลาปรับตัวมากพอสมควร  เนื่องจากบางท่านคุ้นชินกับวิธีการทำงานแบบเอกชน บางท่านคุ้นเคยกับรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีความแตกต่างไปจากระบบราชการ” ผศ.ดร.ธันยพรกล่าว

ด้าน ศ.ดร.ภวิดา ปานะนนท์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาบริหารธุรกิจระหว่างประเทศโลจิสติกส์และการขนส่ง คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า หนึ่งในตัวชี้วัดความท้าทายทางเศรษฐกิจของไทยในวันนี้ คือผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยสถาบัน International Institute for Management Development (IMD) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปี 2025 ที่รายงานว่า ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันร่วงลงไปอยู่อันดับที่ 30 จากอันดับที่ 25 ในปีที่แล้ว และเป็นประเทศที่รั้งอันดับท้ายๆ ในภูมิภาค โดยอยู่ในอันดับที่ 11 จากทั้งหมด 14 ประเทศ โดยสิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า  แม้ประเทศไทยเต็มไปด้วยปัญหาระยะสั้นมากมาย  แต่สิ่งที่เป็นตัวชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจไทยหลายอย่างมาจากการสะสมกันของปัญหาเชิงโครงสร้างที่ไม่ได้รับการแก้ไข

เธอกล่าวว่า ในระยะสั้นของรัฐบาลที่มีระยะเวลาไม่มากนัก สิ่งที่ควรเร่งทำคือการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ซึ่งความไม่เชื่อมั่นเกี่ยวข้องกับการมองไม่เห็นถึงความแน่นอนของฉากทัศน์การเมืองไทยว่าจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้ เช่น จะมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ มีการเลือกตั้งเมื่อใด ฯลฯ ดังนั้นรัฐบาลต้องสร้างความชัดเจนทางการเมืองด้วย

“การเร่งสร้างความชัดเจนเหล่านี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลใหม่ทำได้ จริงอยู่ว่ามันอาจจะไม่ใช่นโยบายด้านเศรษฐกิจโดยตรง แต่การมีความชัดเจนในเส้นทางทางการเมือง อย่างน้อยที่สุดก็จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและคนในประเทศได้ว่า การขึ้นมาเป็นผู้นำรัฐบาลครั้งนี้คือการลุกขึ้นมาแก้ปัญหา พูดจริงทำจริงตามกรอบระยะเวลาที่ได้ให้สัญญาไว้ แล้วคืนเสียงให้กับประชาชนเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง ส่วนตัวเชื่อการที่รัฐบาลจะมีนโยบายเศรษฐกิจที่ดีได้ เขาจะต้องทำหน้าที่ได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีกลไกนอกระบบประชาธิปไตยเข้ามาทำให้เสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอน และหยุดชะงักการพัฒนาเศรษฐกิจ” นักวิชาการผู้นี้กล่าว.

เพิ่มเพื่อน