จับตาชายแดน! “กัมพูชา” ส่งอาวุธยิงวิถีตรง-รถถัง 1 คันประจำจุดยิง “ทภ.2” เปิดไทม์ไลน์ เสียงปืน-ระเบิดกลางดึก หวังเช็กแนวทหารไทย “แม่ทัพภาค 1” ถกแผนรับมือชายแดนสระแก้ว ยันได้อธิปไตยคืนมาแน่นอน ซัดผู้ว่าฯ บ็อนเตียย์เมียนเจ็ยให้ท้ายมวลชนตัวเอง “อนุทิน” ชี้การเจรจาไม่เกิดขึ้นหากกัมพูชาเสริมกำลังพล-อาวุธหนัก เดินหน้าประชามติยกเลิก “เอ็มโอยู”
เมื่อวันที่ 25 กันยายน ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาว่า สถานการณ์โดยรวม ฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 24 ก.ย.2568 ฝ่ายทหารกัมพูชาได้เพิ่มเติมอาวุธยิงสนับสนุนวิถีตรงเข้ามาในพื้นที่แนวชายแดน โดยนำรถถัง 1 คัน เข้าที่ตั้งยิงบริเวณพื้นที่ตรงข้ามช่องตาเฒ่า ทางขึ้นเขาพระวิหาร ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ห่างจากแนวเส้นปฏิบัติการฝั่งไทยประมาณ 300 เมตร คาดว่าเป็นการเตรียมการปฏิบัติการทางทหารต่อฝ่ายไทย
ต่อมาในเวลาประมาณ 20.50 น. ฝ่ายทหารไทยที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณพื้นที่ช่องกร่าง ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ทางทิศตะวันออก ระยะประมาณ 150 เมตร ติดแนวลวดหนามของฝ่ายเรา และยังตรวจพบแสงไฟประมาณ 5 ดวง ในระยะ 100 เมตร บริเวณแนวรั้วลวดหนาม พร้อมทั้งได้ยินเสียงปืนเล็กยิงเข้ามาบริเวณพื้นที่วางกำลังของฝ่ายเรา 3 นัด คาดว่าฝ่ายทหารกัมพูชาพยายามเข้ามา เกาะแนวลวดหนามของฝ่ายเรา ต้องการตรวจสอบแนวการวางกำลัง และยั่วยุฝ่ายทหารไทย
และในเวลา 02.50 น. ฝ่ายทหารไทยที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณพื้นที่จุดตรวจสามแยก ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น 1 ครั้ง จากทางทิศใต้ ระยะประมาณ 150 เมตร ติดกับแนวรั้วลวดหนามของฝ่ายเรา คาดว่าเป็นการใช้ระเบิดขว้าง ขว้างเข้ามาแนววางกำลังของฝ่ายเรา เพื่อตรวจสอบแนวการวางกำลัง และยั่วยุฝ่ายทหารไทย ทั้งนี้ ฝ่ายทหารไทยไม่มีการตอบโต้และสูญเสียแต่อย่างใด
ซึ่งการกระทำดังกล่าวของฝ่ายทหารกัมพูชา เป็นการใช้อาวุธเพื่อการยั่วยุ และเพิ่มเติมกำลังอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง อีกทั้งยังเป็นการพยายามสร้างสถานการณ์ในการให้ฝ่ายไทยตอบโต้ด้วยอาวุธ เพื่อนำไปสู่การอพยพประชาชนกัมพูชาออกนอกพื้นที่บริเวณแนวชายแดน สร้างความชอบธรรมในการปฏิบัติการทางทหารต่อฝ่ายไทย สถานการณ์ในปัจจุบันเป็นสัญญาณบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า ฝ่ายกัมพูชายังคงแสดงท่าทีไม่จริงใจต่อกระบวนการสันติภาพ และมีแนวโน้มที่จะผลักดันสถานการณ์ไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงยิ่งขึ้น
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า การกระทำการยั่วยุดังกล่าว เพื่อหวังในการดูปฏิกิริยาการตอบโต้และทดสอบแนวการวางกำลังของฝ่ายไทย โดยการตรวจพบในข้างต้นนี้ ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงว่าทางกัมพูชายังคงละเมิดในมาตรการหยุดยิง รวมทั้งมีความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะมุ่งสร้างสถานการณ์ยั่วยุต่อเจ้าหน้าที่ทหารไทย ฝ่ายไทยได้มีการเตรียมกำลังที่มีความพร้อมอย่างเข้มงวด เน้นย้ำกำลังพลปฏิบัติงานด้วยความอดทน อดกลั้นและไม่ประมาท เพื่อเฝ้าระวังและสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งหากพบการรุกล้ำในอาณาเขตหรือการกระทำที่เป็นปรปักษ์ กองทัพบกพร้อมใช้สิทธิป้องกันตนเองตามกฎบัตรสหประชาชาติ เพื่อดูแลรักษาและปกป้องอธิปไตยของประเทศไทยในทันที
ขณะที่สถานการณ์ด้าน จ.ตราด นายสุเมธ ตะเพียนทอง นายอำเภอบ่อไร่ ประชุมการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาครั้งที่ 4 โดยมีฝ่ายทหาร กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามสถานการณ์ด้านอำเภอบ่อไร่ โดยในที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนข้อมูลจากฝ่ายทหารในพื้นที่ พร้อมทั้งทบทวนแผนอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัย หากมีคำสั่งให้มีการอพยพ
ทางด้าน จ.สระแก้ว พล.ท.อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 เดินทางมาตรวจเยี่ยมของหน่วยปฏิบัติการชายแดน ณ กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 12 พร้อมรับฟังบรรยายสถานการณ์จาก พล.ต.เบญจพล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา และแผนรองรับสถานการณ์จากนายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าฯสระแก้ว และ พล.ต.ต.ถาวร ดุลยวิทย์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว จากนั้นได้พบปะกำลังพลและเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานปฏิบัติงาน ณ ลานหน้ากองบังคับการ
จากนั้น พล.ท.อมฤตให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ในพื้นที่หนองจานและหนองหญ้าแก้วว่า พื้นที่ของกองทัพภาคที่ 1 มีความซับซ้อน แตกต่างจากพื้นที่อื่น อย่างไรก็ตามเราพยายามรักษาพื้นที่ตามนโยบายของทางรัฐบาล ที่ผ่านมาการทำงานของกองทัพภาคที่ 1 อยู่ในรูปแบบการวางแผนอำนวยการสถานการณ์และการประสานงานคู่ขนานในหลายมิติ โดยยึดถือกรอบของคณะกรรมการทั่วไปชายแดนไทย-กัมพูชา (GBC) เพื่อนำไปสู่การบรรลุข้อตกลง นโยบายและการปฏิบัติในระดับนโยบาย ส่วนการจัดระเบียบพื้นที่ชายแดนซึ่งทางกัมพูชายอมรับ แต่ขอนำไปหารือในเวทีคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ซึ่งจะเป็นโมเดลในการนำไปสู่พื้นที่อื่นๆ
สำหรับการควบคุมสถานการณ์นั้น ได้มอบหมายให้ทางผู้บัญชาการกองกำลังบูรพาเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ พร้อมระดมทุกภาคส่วน รวมถึงกองร้อยควบคุมฝูงชนและกำลังทหาร โดยการบูรณาการร่วมกัน เพื่อยกระดับพัฒนาสถานการณ์ โดยการปฏิบัติเราจะยึดถือหลักมาตรฐานสากลจากเบาไปหาหนัก เพราะในเมื่อเขาใช้มวลชนในการยั่วยุ ก็ต้องใช้การปฏิบัติให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อไม่ให้กัมพูชานำไปบิดเบือนในเวทีโลก
“ขอย้ำว่าเราจะต้องไม่ตกอยู่ในเกมกัมพูชา ต้องดึงเขาให้มาอยู่ในเกมของเรา ซึ่งจะเห็นได้ว่ากัมพูชาพยายามจะเบี่ยงเบนและสร้างภาพต่างๆ แต่เรารู้ว่าเขาสร้างข้อมูลเท็จ เช่น ให้ส่วนอื่นมาแต่งตัวเป็นพระ นำเด็ก สตรี มายั่วยุ หรือแม้แต่ข้อตกลงที่ผู้ว่าฯ จังหวัดสระแก้วเสนอไป แต่ถึงเวลาผู้ว่าราชการบ็อนเตียย์เมียนเจ็ยกลับไปให้ท้าย แล้วจะคุยกันรู้เรื่องอย่างไร ทุกอย่างก็จะพัฒนาตามระดับ ยืนยันว่าในพื้นที่ที่เป็นอธิปไตยของไทยตั้งแต่หลักเขตที่ 42 หนองหญ้าแก้ว ถึงหลักเขตที่ 46 เราจะได้อธิปไตยคืนมาแน่นอน เพียงแต่ว่าต้องมีกระบวนการ ทหารฝ่ายเดียวคงทำไม่ได้ ต้องมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมมือกัน” พล.ท.อมฤตกล่าว
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ย้ำจุดยืนต่อนโยบายการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาในการรักษาอธิปไตยว่า ให้กองทัพเป็นฝ่ายตัดสินใจผ่านสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และในพื้นที่ได้มีการประกาศกฎอัยการอยู่แล้ว ดังนั้น การตัดสินใจสามารถกระทำได้โดยผู้ที่รับผิดชอบ คือแม่ทัพภาคที่ 2 และได้แต่งตั้งให้ พล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รมช.กลาโหม เข้ามาช่วยอีกแรง เพราะเป็นอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ก็จะมีคนที่มีความชำนาญในพื้นที่คอยกำกับดูแลสถานการณ์
"หากกัมพูชาไม่เคลื่อนย้ายอาวุธร้ายแรงออกไป เราก็ยังคุยอะไรไม่ได้ ซึ่งเรายังยืนในเรื่องของการปิดด่านต่างๆ จนกว่าความเป็นภัยจากกัมพูชาจะหมดลงไป หากยิ่งทำเช่นนี้การเจรจาก็จะไม่เกิดขึ้น และคงจะมีมาตรการที่เข้มข้นเพิ่มมากขึ้น" นายอนุทินกล่าว
วันเดียวกัน มีการเผยแพร่ร่างแถลงนโยบายรัฐบาลในคำกล่าวของนายอนุทิน นายกรัฐมนตรี ได้ระบุนโยบายด้านความมั่นคงและต่างประเทศว่า เร่งแก้ไขปัญหากรณีพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชาด้วยแนวทางสันติภาพ เพื่อนําความมั่นคงปลอดภัยให้แก่พี่น้องประชาชนตามบริเวณชายแดนโดยเร็ว และรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยและเขตแดนที่เป็นของไทยโดยชอบธรรมตามเส้นเขตแดนที่เป็นสากล รวมถึงดําเนินการยุติความขัดแย้งผ่านกลไกการเจรจาทางการทูตที่เหมาะสม ควบคู่กับการป้องกันประเทศที่เข้มแข็ง ตลอดจนทําประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจ ให้ความเห็นต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MoU) ระหว่างไทย-กัมพูชา นอกจากนี้ รัฐบาลจะดําเนินนโยบายต่างประเทศในเชิงรุกที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นใจและสถานะของไทยในเวทีระหว่างประเทศ
พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม กล่าวว่า ในส่วนของศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ไม่จำเป็นต้องมีแล้ว เนื่องจากปัจจุบันมีรัฐบาล ครบ 36 คน ซึ่งต่อไป สมช.จะทำหน้าที่สื่อสารไปยังประชาชน โดยมีนายกฯ รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปิดด่าน 5 เดือน การค้าชายแดนคลองใหญ่เสียหาย 5 พันล้าน สินค้าเถื่อนทะลัก วอนรัฐบาลเยียวยา
เศรษฐกิจการค้าชายแดนคลองใหญ่ทรุดหนัก เสียหาย 5 พันล้าน ท่องเที่ยววูบปิดท่าเรือหนี ผู้ประกอบการจี้รัฐเยียวยา หลังปิดด่าน 5 เดือน ขณะสินค้าเถื่อนทะลักเข้า-ออก
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา
นายกฯ ลั่นหากเกิดเหตุชายแดนหลังยุบสภา รัฐบาลรักษาการยังมีอำนาจสนับสนุนเต็มที่
นายกฯ ย้ำไม่มีปัจจัยบอกเหตุ ก็ต้องมีแผนป้องกัน โดยเฉพาะตามแนวชายแดน มั่นใจผู้ว่าฯ ดูแลได้ หากอยู่ในช่วงยุบสภา ปฎิเสธข่าวการเจรจาที่ออตตาวาไม่เป็นผล


