ศาลเดินหน้าคดีอ้วน-ทวี ‘สันติ-ลูก’ทิ้งป้อมซบภท.

“ภูมิธรรม-ทวี” หนาว มติศาล รธน.เสียงข้างมาก 6 ต่อ 2 สั่งเดินหน้าวินิจฉัยปมใช้อำนาจแทรกแซงคดีฮั้วเลือก สว.ต่อ แม้พ้นจากตำแหน่งแล้ว ชี้เป็นการสร้างประโยชน์ต่อสาธารณะ “ลูกเกด” คอตก ศาลอุทธรณ์ยืนจำคุก 2 ปีคดีหมิ่นฯ เจ้าตัวฎีกาสู้ต่อ

เมื่อวันอังคารที่ 30 กันยายน 2568 ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องในคดีที่ประธานวุฒิสภาส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภา (สว.)  ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  ขณะนั้น รวมทั้ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้น สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4)  ประกอบมาตรา 160 (4) จากกรณีผู้ถูกร้องทั้งสองมีมติให้การกระทำความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษ ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 23 วรรคหนึ่ง (2) เป็นการแทรกแซงหรือครอบงำหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง  (กกต.) โดยใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)  เป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบการเลือก สว. อันเป็นการกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่ และครอบงำ สว. ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจและฝ่าฝืนหลักนิติธรรม  จึงถือได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสองไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5) เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องทั้งสองสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่

ศาลฯ เห็นว่าขณะที่คดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลงตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 17/2568 เป็นผลให้รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง ต่อมามีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ  แต่งตั้งนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี  และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรีชุดใหม่ ไม่ปรากฏรายชื่อผู้ถูกร้องทั้งสองได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี และนายอนุทินนำคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ ทำให้ผู้ถูกร้องทั้งสองพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี  ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติโดยเสียงข้างมาก 6 ต่อ 2 วินิจฉัยว่า การพิจารณาคดีต่อไปจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 51

สำหรับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 6 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์, นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม,  นายจิรนิติ หะวานนท์, นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์, นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ ส่วนตุลาการเสียงข้างน้อย 2 คน คือ นายวิรุฬห์ แสงเทียน และนายนภดล เทพพิทักษ์ เห็นว่า เมื่อผู้ถูกร้องทั้งสองพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี กรณีไม่มีเหตุที่จะต้องวินิจฉัยคดีต่อไป

ขณะเดียวกัน นายอัครวัฒน์ พงศ์ธนาชลิตกุล สว.สำรอง ได้เดินทางมาเพื่อยื่นเรื่องให้อัยการสูงสุด (อสส.) ตรวจสอบการกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลที่อาจเข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครอง โดยร้องเรียนเอาผิด 2 บุคคล 2 พรรคการเมือง ได้แก่ นายอนุทิน และนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ที่ทำบันทึกข้อตกลง (MOA) สนับสนุนเลือกนายอนุทินเป็นนายกฯ แต่มีเงื่อนไขว่าต้องเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยและต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน มีลักษณะเป็นการแทรกแซงก้าวก่ายพรรคการเมืองระหว่างกันหรือสัญญาทาส ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และจะทำให้ประชาธิปไตยของประเทศไม่พัฒนา

ส่วนนายนิยต ดำรงประภักดิ์ ประธานกรรมการสืบสวนและไต่สวนคณะที่ 20 สำนักงาน กกต. ออกหมายเรียกนายเศรณี อนิลบล สว. เมื่อวันที่ 18 ก.ย.2568 คดีเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง โดยมีรายละเอียดว่า ในการเลือก สว.ระดับประเทศ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.2567 ได้พบข้อมูลว่า ก่อนวันเลือก สว.ระดับประเทศ นายเศรณีมีชื่อเป็นผู้เข้าร่วมประชุมและเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นสถานที่ที่น่าเชื่อว่ามีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 77 (1) แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. 2561 ซึ่งในฐานะพยานจึงให้ไปพบคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนคณะที่ 20 ณ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำ จ.นครสวรรค์ อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ ในวันที่ 30 ก.ย.2568 เวลา 13.00 น.

ก่อนหน้านี้ นายเศรณีมีข่าวแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม จากกรณีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) ไม่ยอมเปิดแผงเหล็กกั้นจราจรให้รถยนต์ของเจ้าตัวขับเข้าไปในอาคารรัฐสภาในทันที โดยได้ต่อว่าด้วยถ้อยคำที่หยาบคายและรุนแรงในลักษณะดูหมิ่นซึ่งหน้า พร้อมชี้หน้าข่มขู่

วันเดียวกัน ศาลจังหวัดธัญบุรีอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในคดีหมิ่นสถาบันฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือ ลูกเกด สส.ปทุมธานี พรรค ปชน. เป็นจำเลยในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบันฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีเมื่อวันที่เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2564 จำเลยได้ปราศรัยและชุมนุมเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องขังคดีการเมือง หน้าศาลจังหวัดธัญบุรี #คาร์ม็อบ11กันยา 64 โดยมีเนื้อหาดูหมิ่นในหลวงรัชกาลที่ 10  จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลจังหวัดธัญบุรีพิพากษาจำคุก น.ส.ชลธิชาจำเลย 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา จำเลยยื่นอุทธรณ์ โดยวันนี้ น.ส.ชลธิชาเดินทางมาศาล พร้อมนายปิยรัฐ จงเทพ หรือโตโต้ สส.กทม. พรรค ปชน. และนายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรค ปชน.

ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราว ศาลจังหวัดธัญบุรีพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยระหว่างฎีกา โดยตีราคาประกัน 150,000 บาท

ที่รัฐสภา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรก ภายหลังการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นประธาน ได้มีมติแต่งตั้งนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า​ นายสันติ​ พร้อม​พัฒน์​ ที่เพิ่งลาออกจากเลขาธิการ​และสมาชิกพรรค​พลังประชารัฐเมื่อวันที่ 29 ก.ย.​ ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยตลอดชีพ​ พร้อมกับนายพัฒนา พร้อมพัฒน์​ รมว.สาธารณสุข กับนายอนุทิน​ ชาญวีรกูล​ นายก​รัฐมนตรี​และ ​รมว.มหาดไทย​ ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย​ และน.สไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกฯ ในฐานะเหรัญญิกพรรค​โดยตรง​ พร้อมกับมี สส.พรรคภูมิใจไทยให้การต้อนรับด้วย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.