จับตา‘ชัตดาวน์’ คลังหวั่นลุกลาม ‘เอกชน’ไม่วิตก

"วรภัค" จับตาปมสหรัฐชัตดาวน์  หวั่นสถานการณ์ยืดเยื้อบานปลายลุกลามกระทบไทย พร้อมกางแนวทางเตรียมรับมือ  กระทุ้ง "แบงก์ชาติ" ดูแลเสถียรภาพค่าเงิน หาตลาดส่งออกเสริม เตรียมสินเชื่ออุ้มเอสเอ็มอี-ผู้ประกอบการส่งออกที่อาจถูกกระทบ "เอกชน" ไม่วิตก ยันไม่กระทบไทย เหตุเกิดขึ้นบ่อยและคาดการณ์ได้

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม นายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.การคลัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับกรณี US Government Shoutdown 2025 และผลกระทบต่อไทย โดยระบุว่า รัฐบาลสหรัฐเพิ่งปิดทำการ (shutdown) หลังสภาคองเกรสไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณทันเส้นตาย 1 ตุลาคม ทำให้บริการของรัฐ “ที่ไม่จำเป็น” ต้องหยุดชะงัก มีเจ้าหน้าที่ราว 750,000 คน ถูกสั่งพักงาน ส่งผลกระทบต่อประชาชนและธุรกิจในประเทศทันที

ทั้งนี้ ทำไมถึงเกิด shutdown เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐต้องผ่านกฎหมายงบประมาณทุกปี แต่รอบนี้ทั้งสองพรรคไม่ตกลงกัน โดยพรรครีพับลิกันต้องการออกมาตรการชั่วคราว (Continuing Resolution) คงงบไปจนถึง 21 พ.ย. ขณะที่พรรคเดโมแครตยืนยันต้องมีการขยายสิทธิประกันสุขภาพไปด้วย โดยเจรจาล่มกลางทำเนียบขาว ทำให้รัฐบาลปิดทันที

สำหรับผลกระทบภายในสหรัฐ หน่วยงานหลายแห่งปิด รวมถึงอุทยานแห่งชาติ ศุลกากร และหน่วยงานสถิติแรงงาน (BLS) โดยรายงานการจ้างงานเดือนกันยายน เลื่อนออกไป กระทบตลาดแรงงานและการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่กำลังพิจารณาลดดอกเบี้ย และประเด็นสำคัญคือ รัฐบาลทรัมป์ส่งสัญญาณว่า shutdown รอบนี้อาจไม่ใช่การ ‘พักงานชั่วคราว’ แต่เป็นการ ‘ปลดถาวร’ ข้าราชการบางส่วน ส่งผลทำให้ตลาดแรงงานสหรัฐอ่อนแอหนักขึ้น

 “ผลกระทบเศรษฐกิจขึ้นกับระยะเวลา โดยการ Shutdown ครั้งก่อน (2018-2019) ทำจีดีพีหายไป 11 พันล้านดอลลาร์ และ 3 พันล้านดอลลาร์ไม่กลับมาเลย” นายวรภัคระบุ

นายวรภัคระบุอีกว่า ถ้าสถานการณ์ยืดเยื้อบานปลาย อาจจะมีผลกระทบต่อประเทศไทยได้ ผ่านค่าเงินบาทและตลาดการเงิน โดยนักลงทุนอาจจะผันเงินไปหาสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้ค่าเงินอาจจะผันผวน ดัชนีตลาดหุ้น (SET) รับแรงกดดัน ส่วนในภาคการส่งออกนั้น ปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวอาจส่งผลให้คำสั่งซื้อจากสหรัฐเสี่ยงชะลอ โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าอุตสาหกรรม อีกทั้งศุลกากรสหรัฐที่ทำงานล่าช้าอาจทำให้สินค้าค้างท่าเรือ ส่วนในภาคการท่องเที่ยว ถ้าผู้บริโภคสหรัฐระมัดระวังการใช้จ่าย การเดินทางท่องเที่ยวอาจลดลงบ้าง ขณะที่ผลกระทบในด้านความเชื่อมั่นการลงทุน ความไม่แน่นอนในสหรัฐจะเพิ่มแรงกดดันต่อตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทย แต่ก็เปิดโอกาส หากเฟดลดดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด เงินทุนบางส่วนอาจไหลกลับเข้ามาในภูมิภาค

ส่วนแนวทางที่ไทยควรเตรียมรับมือ ถ้าสถานการณ์ลุกลามบานปลาย รมช.การคลัง ระบุว่า ในส่วนของการดูแลเสถียรภาพค่าเงินนั้น  มองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องพร้อมใช้เครื่องมือดูแล FX ไม่ให้กระทบภาคส่งออก/นำเข้า รวมทั้งต้องบริหารความเสี่ยงด้านส่งออก โดยการหาตลาดเสริม เช่น จีน อาเซียน ตะวันออกกลาง และประสานทูตพาณิชย์กับฝ่ายสหรัฐ ถ้ามีปัญหาติดขัดด้านศุลกากร ขณะเดียวกันยังต้องเตรียมมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจ เช่น มาตรการ soft landing ผ่านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับเอสเอ็มอี และ FX hedging สำหรับผู้ส่งออกที่ถูกกระทบจากตลาดสหรัฐ 

ขณะที่ นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย โดยการชัตดาวน์ของสหรัฐ เหมือนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และสามารถคาดการณ์ได้ ล่าสุดก็มีกลไกที่สหรัฐป้องกันไว้ก็คือ งานส่วนใหญ่ยังสามารถทำได้ในการบริการ ยกเว้นในสนามบินบางส่วนที่เป็นเจ้าหน้าที่ ซึ่งอาจมีผลทำให้ไฟลต์ต่างๆ ภายในเกิดการล่าช้าหรือดีเลย์บ้าง  แต่ไม่ได้หยุด ซึ่งในอดีตก็เคยมีเหตุการณ์ชัตดาวน์ที่นานที่สุดถึงกว่า 30 วัน

 “ครั้งนี้จึงอยู่ที่ระยะเวลาของการชัตดาวน์ ในเบื้องต้นไม่กระทบกระเทือนกับประเทศอื่น ยกเว้นการให้บริการคนในประเทศเป็นหลัก เวลานี้จึงยังไม่ต้องวิตก อีกทั้งยังไม่มีผลต่อการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐ"

นายเกรียงไกรกล่าวถึงกรณีที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของ 5 ธนาคารไทย (เมื่อ 29 ก.ย.68) ว่า การทำเรตติ้งขององค์กรทางด้านการจัดอันเครดิตของโลกทั้ง 3 แห่งนั้น จะมองที่ภาพรวมและปัญหาในประเทศ โดยที่ผ่านมาไทยถูกปรับมุมมองแนวโน้มมาเป็นเชิงลบจากมูดี้ส์ แต่เรตติ้งของประเทศยังดี เพราะสภานะการคลังและเงินสำรองระหว่างประเทศยังมีปริมาณสูง

ขณะที่หนี้สาธารณะแม้ว่าจะอยู่ในระดับสูง แต่เป็นหนี้ที่เกิดขึ้นในประเทศ ไม่ใช่หนี้ต่างประเทศ เพียงแต่มีมุมมองที่ไม่ดีเกี่ยวกับหนี้ภาครัวเรือนอยู่ในเชิงสูง และเอสเอ็มอีเกิดความยากลำบากในการทำธุรกิจ ซึ่งอาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมไม่เติบโตเท่าที่ควร  

"ยังมีข้อดีที่ว่า แม้หนี้สาธารณะโดยรวมของไทยสูง แต่มีการจ่ายดอกเบี้ยในอัตราต่ำ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6-7% เท่านั้น ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านหรือในภูมิภาคจะต้องมีการจ่ายดอกเบี้ยหนี้สาธารณะอยู่ที่ประมาณ 9.2% โดยเฉลี่ย จึงทำให้ฟิทช์ยังคงเรตติ้งไทยไว้ที่ BBB+ แต่ปรับเสถียรภาพกลายเป็นเชิงลบ" นายเกรียงไกรกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รำลึกพ่อหลวงร.9 ในหลวง-พระราชินีทรงบำ เพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน

ในหลวง-พระราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพรัชกาลที่ 9 และสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เฉลิมพระนามพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมพระนราธิวาสราชนครินทร์ บดินทรเชษฐภคินี

อนุทินโวทำจริง/ปปง.จ่อฟันอีก

นายกฯ ลั่นรัฐบาลจริงจังปราบสแกมเมอร์ บอกแค่ 2 เดือนยึดอายัดทรัพย์หมื่นล้าน-เปิดชื่อเครือข่าย ถามมีใครกล้าทําหรือไม่ ตอกกลับ "เพื่อไทย" ถ้าทำงานห่วยจะให้ย้ายไปคุม