รับสั่งสร้างรั้วชายแดนทันที

กรมพระศรีสวางควัฒนฯ รับสั่งให้กองทัพไทยสร้างรั้วชายแดนไทย-กัมพูชาทันที “มทภ.1” น้อมรับพระกระแสรับสั่ง สำรวจพื้นที่หลุมบุคคล-บังเกอร์-กำแพง เดินหน้ากวาดทุ่นระเบิดหนองจานต่อ “ทอ.-ทบ.” โต้เฟกนิวส์กัมพูชา ใช้ความเห็น "สว.อังคณา" ไปขยายผลเข้าข้างตัวเอง นายกฯ ไม่ปิดกั้นมิตรประเทศเป็นคนกลางหย่าศึก ยันไทยเป็นอิสระจะรักษาอธิปไตยอย่างถึงที่สุด "กมธ.MOU 43-44" เตรียมสรุปข้อดี-ข้อเสียส่งให้สภา-ครม.พิจารณา ชี้ไม่เกี่ยวเรื่องเขตแดน “กต.” แจงประชุม "เจบีซี" ไม่เกี่ยวกับสิทธิยกเลิกเอ็มโอยู ระบุเขมรยังไม่ตอบรับ

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 16 ตุลาคม  ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จออก ณ ห้องประชุม ชั้น 11 อาคารอัครราชกุมารี โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ พระราชทานพระวโรกาสให้ คุณหญิงจรัสศรี ทีปิรัช รองประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ฝ่ายบริหาร และผู้อำนวยการสำนักองค์ประธาน นำ พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และคณะ ประกอบด้วย พล.อ.ชิดชนก นุชฉายา เสนาธิการทหาร, พล.อ.ศราวุธ จันทร์พุ่ม ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา, พล.ท.ชาคร บุญภักดี เจ้ากรมแผนที่ทหาร และ พล.ท.จุมภฏ นุรักษ์เขต เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร เฝ้ารับพระราชทานพระนโยบายเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

พร้อมกราบทูลรายงานถึงแนวทางการดำเนินงานด้านต่างๆ เพื่อสนับสนุนภารกิจสำคัญตามวัตถุประสงค์ของ "กองทุนหทัยทิพย์"  ภายใต้มูลนิธิจุฬาภรณ์ อันเป็นการสนองพระปณิธานที่ทรงห่วงใยในความมั่นคงปลอดภัยของกำลังพลแนวหน้าและประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดน ด้วยทรงให้การสนับสนุนการจัดสร้างกำแพงและบังเกอร์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นการเร่งด่วน

ในการนี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดกราบทูลรายงานถึงแผนการขับเคลื่อนดำเนินงานของกองบัญชาการกองทัพไทย โดยมีประเด็นต่างๆ ดังนี้  1.แผนที่การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา 2.จุดที่สามารถก่อสร้างรั้วชายแดนและขั้นตอนการดำเนินการ 3.แบบของการก่อสร้างรั้วชายแดน ถนนตรวจการณ์ และบังเกอร์บุคคล

จากนั้น พล.อ.ชิดชนก นุชฉายา เสนาธิการทหาร, พล.อ.ศราวุธ จันทร์พุ่ม ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา, พล.ท.ชาคร บุญภักดี เจ้ากรมแผนที่ทหาร และ พล.ท.จุมภฏ นุรักษ์เขต  เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร กราบทูลรายงานแผนการดำเนินงาน เรื่อง แผนที่การสำรวจ และจัดทำหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ เขตแดนไทย-กัมพูชา มีความยาวรวม 798 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังได้ปักหลักเขตแดนไว้อีก 74 หลัก โดยเริ่มจากหลักเขตแดนที่ 1 ที่ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ และปักหลักต่อๆ ไปทางทิศตะวันตกไปทาง จ.สุรินทร์ จ.บุรีรัมย์ จ.สระแก้ว จ.จันทบุรี และสิ้นสุดที่หลักเขตแดนที่ 73 อ.คลองใหญ่ จ.ตราด โดยหลักเขตแดนแต่ละหลักจะปักไปตามลักษณะภูมิประเทศตามธรรมชาติ

สำหรับบริเวณที่วางแผนจะสร้างรั้วชายแดนไทย-กัมพูชา ระหว่างหลักเขตแดนที่ 52-59 มีที่ตั้งอยู่ใน อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ติดต่อกับ อ.กอมเรียง จ.พระตะบอง ประเทศกัมพูชา โดยจะกำหนดแนวเขตแดนเป็นเส้นตรงระหว่างหลักต่อหลัก ตั้งแต่หลักเขตแดนที่ 52 ถึง 59 รวม 8 หลัก ระยะทางรวมประมาณ 8.4 กิโลเมตร และทั้ง 2 ฝ่ายมีความเห็นตรงกันในที่ตั้งหลักเขตแดน จะเห็นได้ว่า บริเวณดังกล่าวนี้มีความเหมาะสมในการสร้างรั้ว โดยเริ่มจากหลักเขตแดนที่ 52 ไปตามลำดับ เนื่องจากเป็นพื้นราบ เข้าถึงง่าย และไม่มีความขัดแย้งเรื่องเส้นเขตแดน

โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ ทรงมีพระกระแสรับสั่งให้กองทัพไทยดำเนินการได้ทันที ด้วยทรงห่วงใยในความปลอดภัย คุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของกำลังพลผู้ปฏิบัติหน้าที่   รวมถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ด้านความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา

วันเดียวกัน กองทัพภาคที่ 1 โดยศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 รายงานผลการปฏิบัติ ภารกิจการเก็บกู้ระเบิด กกล.บูรพา ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ว่าอยู่ระหว่างการสร้างสภาพแวดล้อมภาพรวมให้ปลอดภัย เพื่อเตรียมมอบคืนพื้นที่ปลอดภัยให้ประชาชนในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้วได้มีที่ทำกิน ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจการค้นหาวัตถุระเบิดครอบคลุมพื้นที่แล้ว และเตรียมการวางแผนเข้าตรวจสอบค้นหาวัตถุระเบิดที่คาดว่าตกค้างในพื้นที่บริเวณบ้านหนองจานในห้วงต่อไป

มทภ.1 น้อมรับพระกระแสรับสั่ง

สำหรับความคืบหน้าการจัดสร้างบังเกอร์และหลุมหลบภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้ว ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก “กองทุนหทัยทิพย์” ภายใต้มูลนิธิจุฬาภรณ์ พล.ท.วรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 1 ร่วมกับ กกล.บูรพา และทุกภาคส่วน ลงพื้นที่สำรวจพื้นที่เหมาะสมในการจัดสร้างบังเกอร์และหลุมหลบภัยประชาชน โดย กกล.บูรพาได้รับการสนับสนุนให้สร้างและปรับปรุงที่มั่นกำบัง (บังเกอร์) 72 แห่ง และหลุมหลบภัยสำหรับประชาชน ขนาดความจุ 40 คน 6 แห่ง โดยในห้วงแรกจะเร่งดำเนินการสร้างบังเกอร์ 10 แห่ง และหลุมหลบภัย 2 แห่ง ด้วยพระเมตตาของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ  กรมพระศรีสวางควัฒนฯ นำมาซึ่งความรู้สึกซาบซึ้งใจของกำลังพลที่ปฏิบัติงานและประชาชนที่อาศัยตามแนวชายแดน และน้อมสำนึกในพระกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

ที่นครเวียงจันทน์ สปป.ลาว นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า มาตรการ “ปิดด่าน” ที่รัฐบาลใช้ถือเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ และมีผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงต่อฝั่งกัมพูชา ถือเป็นมาตรการเข้มที่สุดแล้วในเวลานี้ และเป็นเครื่องยืนยันว่าไทยไม่ได้นิ่งเฉยต่อการกระทำที่กระทบความมั่นคง

นายอนุทินกล่าวว่า ไทยยังคงเปิดทางการเจรจาทางการทูต แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริงใจและการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมจากฝั่งกัมพูชา โดยเสนอเงื่อนไขสำคัญ 4 ประการ คือ 1.การถอนกำลังทหารตามแนวชายแดน 2.การเก็บกู้วัตถุระเบิดบริเวณชายแดน 3.การดำเนินคดีปราบปรามอาชญากรรมสแกมเมอร์และอาชญากรรมไซเบอร์ 4.การสร้างความชัดเจนของเขตแดน เพื่อยุติความขัดแย้งในอนาคต

"ได้มอบอำนาจเต็มให้กองทัพตัดสินใจด้านความมั่นคงอย่างอิสระ โดยรัฐบาลจะไม่แทรกแซง เพื่อให้สามารถบริหารสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและเด็ดขาด การเจรจาจะเดินหน้าต่อไปตราบใดที่ผลประโยชน์ของประเทศไทยไม่ถูกกระทบ โดยเราไม่ต้องการสงคราม แต่ก็จะไม่ยอมให้ใครรุกล้ำดินแดนไทยเด็ดขาด"

ส่วนกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ เสนอตัวเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยความขัดแย้งนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า  ไทยไม่ปิดกั้นความปรารถนาดีของมิตรประเทศ แต่ย้ำว่าไทยมีความเป็นอิสระในการตัดสินใจ และจะรักษาอธิปไตยของตนเองอย่างถึงที่สุด ซึ่งเราขอบคุณไมตรีจากทุกประเทศ แต่ไทยมีจุดยืนชัดเจน เราไม่รุกรานใคร และจะปกป้องศักดิ์ศรีของชาติด้วยทุกสิ่งที่เรามี ไทยยังยึดมั่นในกติกาสากล และพร้อมเดินหน้าสร้างสันติภาพในภูมิภาคอย่างยั่งยืน

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเปิดด่านชายแดนภายในวันที่ 20 ต.ค.นี้ว่า ประเทศไทยจะไม่เปิดด่านผ่านแดนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ตามข้อเสนอที่สมเด็จฮุน เซน ยื่นคำขาด และยืนยันว่าไม่มีเรื่องดังกล่าวอยู่ในการพิจารณาของฝ่ายไทยในขณะนี้ โดยฝ่ายไทยยังพิจารณาตามแนวทาง 4 ข้อเสนอหลัก คือ 1.ขอให้ฝ่ายกัมพูชาถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดน 2.ประสานความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด 3.ปราบปรามขบวนการอาชญากรรมออนไลน์ และ 4.ดำเนินการจัดการพื้นที่ชายแดนร่วมกัน  และย้ำว่าเป็นการเรียกร้อง เนื่องจากต้องการเห็นความจริงใจและสุจริตในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน

'เจบีซี' ไม่เกี่ยวสิทธิยกเลิก MOU

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีกลุ่มนักเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ไทย-กัมพูชา ฉบับปี 2543 และฉบับปี 2544 ภายใน 3 เดือน และอ้างว่าถ้ายังมีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ไทย-กัมพูชา ในวันที่ 21 ต.ค.นี้ จะทำให้ไทยเสียสิทธิการยกเลิกเอ็มโอยูดังกล่าว นายนิกรเดชกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศเริ่มอธิบายเรื่องเอ็มโอยูดังกล่าว โดยให้ข้อมูลที่ชัดเจนที่สุดแบบไม่ได้ชี้ไปในทางใดทางหนึ่ง ทุกสัปดาห์จะมีกำหนดการสื่อสารหลายช่องทางเพื่อให้ข้อมูลให้ประชาชนได้เข้าใจก่อนการจะมีการทำประชามติในปลายปีนี้ ส่วนประชาชนจะเลือกหรือตัดสินใจอย่างไรไม่ได้เกี่ยวกับทางกระทรวง  

นายนิกรเดชกล่าวว่า ส่วนการประชุมเจบีซีนั้น ไม่เกี่ยวกับการที่จะทำให้ไทยเสียสิทธิในการจะยกเลิกหรือไม่ยกเลิกเอ็มโอยู แต่การประชุมเจบีซีเป็นสิ่งที่ไทยพยายามทำให้มีกลไกทวิภาคีดำเนินต่อไปในการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้ส่งหนังสือเชิญไปที่กัมพูชาแล้ว แต่ยังไม่มีการตอบรับมา

ที่รัฐสภา นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาบันทึกความเข้าใจ (MOU) 2543 และ 2544 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา เปิดเผยถึงการประชุม กมธ.ว่า จะได้ข้อสรุปของ MOU 43 และจะนำเข้าสู่การพิจารณา MOU 44 โดยจะมีรายละเอียดข้อดีและข้อเสียในการยกเลิกหรือไม่ยกเลิกอย่างไรบ้าง ซึ่งได้ข้อสรุปว่าเราจะไม่มีการลงมติว่ายกเลิกหรือไม่ยกเลิก เพราะเรื่องนี้เป็นการตัดสินใจเรื่องใหญ่ เราจะนำเสนอทั้ง 2 มุมมองต่อทั้งสภาและคณะรัฐมนตรี

เมื่อถามว่า หากมีการยกเลิก MOU 43 จะทำให้การเจรจายากขึ้น รวมถึงมีการพูดคุยถึงหลักเขตแดนปักปันไปแล้วด้วยหรือไม่ นายไชยชนกกล่าวว่า หลักเขตไม่ใช่การปักปันแล้วได้ข้อสรุปแล้วว่านี่คือเขตใหม่ ตามข้อตกลงหากปักปันเสร็จก็ต้องนำเข้าสู่สภาก่อนเพื่อคอนเฟิร์มอีกครั้ง หากเข้าสภาแล้วไม่ได้รับความเห็นชอบ ไม่ว่าจะฝั่งเราหรือฝั่งเขา ถือว่าเซ็น MOU แต่ไม่มีเขตแดนที่ตกลงร่วมกัน ส่วนที่ปักปันกันมาไม่ใช่ข้อตกลงระหว่างประเทศที่เราจะใช้ อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 17 ต.ค.นี้จะมีการประชุมหารือกันที่ทำเนียบรัฐบาล นำโดยนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.การต่างประเทศ และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ขณะเดียวกัน เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย หรือ (คปท.) ประมาณ 60 คน รวมตัวกันบริเวณด้านหน้าสถานทูตราชอาณาจักรกัมพูชาประจำประเทศไทย แสดงออกเชิงสัญลักษณ์กดดันให้รัฐบาลกัมพูชา โดยสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา นำประชาชนกัมพูชาออกจากพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว

ทอ.-ทบ.โต้เฟกนิวส์เขมร

พล.อ.ท.จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ (ทอ.) ย้ำกรณีฝ่ายกัมพูชาออกข่าวเกี่ยวกับปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายไทยในการโจมตีฝ่ายกัมพูชาก่อน โดยใช้เครื่องบิน F-16 และ Gripen ของไทยว่า การปฏิบัติการของ ทอ. เป็นการปฏิบัติร่วมกันของกองทัพไทย ซึ่งคงไว้เพื่อเอกราชและอธิปไตยของประเทศไทย และที่สำคัญที่สุดของวันนั้น เราต้องการจะปกป้องรักษาชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน ถึงแม้จะมีการโจมตีทางเป้าหมายแล้ว แต่ทางกัมพูชาก็ยังไม่หยุด ยังมีการยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 และปืนใหญ่ใส่เป้าหมายที่เป็นพลเรือนของไทยอย่างต่อเนื่อง จึงต้องมีการปฏิบัติการทางอากาศอย่างต่อเนื่อง

พล.อ.ท.จักรกฤษณ์ระบุว่า การให้ข้อมูลครั้งนี้ เพื่อขอตอบโต้การให้ข่าวที่เป็นเฟกนิวส์ของฝั่งกัมพูชา ซึ่งเป็นการดิสเครดิตการปฏิบัติการกำลังทางอากาศของกองทัพไทย ซึ่ง ทอ.ขอให้ความเชื่อมั่นกับพี่น้องประชาชนว่า เราเตรียมความพร้อมต่อเนื่องตลอดเวลา ส่วนกรณีที่นางอังคณา นีละไพจิตร  สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ให้ความเห็นเรื่องการใช้เครื่องบิน F-16 โจมตีกัมพูชานั้น ได้มีการชี้แจงไปแล้ว ซึ่งไม่ใช่การตอบโต้กับการที่นางอังคณาได้ให้สัมภาษณ์ แต่เป็นการตอบโต้ข่าวเฟกนิวส์ของกัมพูชา เพราะกัมพูชาได้นำข่าวของนางอังคณาไปขยายผล ทาง ทอ.จึงต้องการตอบโต้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง และเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงให้สื่อมวลชนและต่างประเทศว่า การปฏิบัติการของเราอยู่บนพื้นฐานของการป้องกันตนเอง ตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ

 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ระบุเช่นกันว่า การที่ฝ่ายกัมพูชาออกมาเผยแพร่ข่าวสารบิดเบือน โดยหยิบเนื้อหาบางส่วนไปขยายความในมุมที่ตนเองได้ประโยชน์ เพื่อหวังทำลายภาพลักษณ์ประเทศไทยในสายตานานาชาติ ถือเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาโดยตลอด จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ การที่คนไทยด้วยกันออกมาสื่อสารในลักษณะที่ข้อมูลไม่ครบถ้วน จากความไม่เข้าใจข้อเท็จจริงของสถานการณ์ หรือด้วยเจตนาส่วนบุคคล จนถูกฝ่ายกัมพูชาหยิบนำไปกล่าวอ้างเพื่อใช้ประโยชน์ในปฏิบัติการข่าวสาร ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันความสามัคคีของคนไทยทุกภาคส่วนเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่จะนำพาประเทศให้ผ่านพ้นความท้าทายต่างๆ ไปได้ ที่ผ่านมามีบทเรียนชัดเจนแล้วว่า เมื่อใดที่คนไทยขาดความไว้เนื้อเชื่อใจ ย่อมเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดีเข้ามาแทรกแซงและแสวงหาประโยชน์จากความแตกแยกที่เกิดขึ้น.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.