ปชป.ชี้คนละครึ่ง ช่วยคนระยะสั้น ชงพิมพ์เขียวศก.

โฆษก ปชป.แจง "อภิสิทธิ์" ไม่ได้วิจารณ์ "คนละครึ่ง" เชิงลบ ยันมองเป็นสิ่งที่ดี แต่ช่วยประชาชนได้ระยะสั้น ย้ำพรรคเตรียมเสนอพิมพ์เขียวเศรษฐกิจที่โตอย่างยั่งยืน ขณะที่ รัฐบาลขยายสิทธิหักรายจ่าย 2 เท่า สำหรับนิติบุคคลจัดอบรม-สัมมนาในอำเภอเมืองหลักที่ได้สิทธิเทียบเท่า “เมืองรอง” 

เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวชี้แจงกรณีมีการตีความถ้อยคำของนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่ามีลักษณะเป็นการวิจารณ์โครงการคนละครึ่งของรัฐบาล โดยยืนยันว่าถ้อยคำดังกล่าวไม่ได้มีเจตนาในเชิงลบต่อโครงการดังกล่าว

ร.ต.อ.พงศกรระบุว่า หัวหน้าพรรคมีความเห็นว่าโครงการคนละครึ่งนั้นเป็นโครงการที่มีประโยชน์อย่างยิ่งในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะในช่วงภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องการสื่อสารอย่างชัดเจนคือ หากประเทศพึ่งพาโครงการช่วยเหลือระยะสั้นโดยปราศจากการต่อยอดในเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ อาจเป็นผลให้ประเทศไทยไม่สามารถสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว

สำหรับแนวทางเศรษฐกิจที่ครบวงจรและยั่งยืนมากขึ้น พรรคประชาธิปัตย์จึงได้แสวงหาแนวทางเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อสร้างโอกาสใหม่ในการค้าขายและบริการ การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าถึงตลาดโลกได้ง่ายขึ้น ตลอดจนการยกระดับภาคเกษตรกรรมให้ทันสมัยด้วยการใช้เทคโนโลยีและการจัดการข้อมูล เพื่อเพิ่มรายได้และลดต้นทุนให้กับเกษตรกร ซึ่งแนวทางเหล่านี้คือสิ่งที่พรรคเชื่อมั่นว่าจะช่วยต่อยอดจากโครงการช่วยเหลือชั่วคราวอย่างคนละครึ่งได้ดี และจะทำให้ประเทศไทยมีระบบเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างมั่นคง โปร่งใส และเป็นธรรมสำหรับทุกภาคส่วนของสังคม

ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการตอกย้ำถึงภารกิจสำคัญที่สุดของพรรคการเมืองที่ต้องมุ่งเน้นไปยังปัญหาและภาพรวมของประเทศชาติบ้านเมือง พรรคประชาธิปัตย์จึงเตรียมจัดเวทีฟอรัมใหญ่ขึ้นในวันที่ 28 ตุลาคมนี้ โดยได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจและนวัตกรรมระดับประเทศ 3 ท่าน มาร่วมวิเคราะห์และให้มุมมอง ได้แก่ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) คนแรก, นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหารกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร และ น.ส.จรีพร จารุกรสกุล ประธานกรรมการบริหารของดับบลิวเอชเอ (WHA) คอร์ปอเรชั่น

"พรรคมั่นใจว่าทั้งสามท่านจะเข้ามาช่วยบอกกับสังคมถึงสถานะที่แท้จริงของประเทศ และเป็นโอกาสให้พรรคได้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างสรรค์นโยบายเศรษฐกิจที่ยั่งยืน แทนที่จะมุ่งเน้นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้นอย่างที่ปรากฏอยู่ในการเมืองปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นภารกิจหลักที่พรรคการเมืองควรทำ" ร.ต.อ.พงศกรกล่าว

ด้าน น.ส.ลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค โดยกรมสรรพากรได้ออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 456) เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับรายจ่ายที่เกิดจากการจัดอบรม สัมมนา หรือการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ และได้ขยายเขตพื้นที่ท่องเที่ยวเพิ่มเติมจากจังหวัดท่องเที่ยวรอง เพื่อให้นิติบุคคลสามารถใช้สิทธิหักรายจ่ายได้มากขึ้น มาตรการดังกล่าวมีผลใช้ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2568 เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการจัดกิจกรรมในประเทศได้ในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นช่วงที่มีการจัดประชุม อบรม และสัมมนาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

น.ส.ลลิดากล่าวว่า พื้นที่ที่ได้รับสิทธิตามประกาศฉบับนี้ ครอบคลุมอำเภอในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก เช่น กระบี่ เชียงใหม่ นครราชสีมา ชลบุรี สุราษฎร์ธานี กาญจนบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ พังงา ระยอง พระนครศรีอยุธยา สระบุรี ขอนแก่น ฉะเชิงเทรา และสงขลา โดยในแต่ละจังหวัดได้ระบุอำเภอที่มีสิทธิเทียบเท่าเมืองรองอย่างชัดเจน อาทิ จ.กระบี่ ที่เขาพนม, ปลายพระยา, ลำทับ จ.เชียงใหม่ ที่สารภี, สันทราย, แม่แตง, แม่วาง, ดอยสะเก็ด, อมก๋อย ฯลฯ จ.นครราชสีมา ที่ปักธงชัย, พิมาย, วังน้ำเขียว, สีคิ้ว, ด่านขุนทด, เสิงสาง ฯลฯ

จ.ชลบุรี ที่บ้านบึง, พานทอง, พนัสนิคม, หนองใหญ่ ฯลฯ จ.สุราษฎร์ธานี ที่กาญจนดิษฐ์, พุนพิน, ดอนสัก, ไชยา, วิภาวดี ฯลฯ และจังหวัดอื่นอีกกว่า 10 จังหวัดทั่วประเทศ

รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า  มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายภาษีเพื่อส่งเสริมให้ภาคธุรกิจจัดประชุม อบรมและสัมมนาภายในประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและช่วยกระจายรายได้สู่ภูมิภาค โดยนิติบุคคลที่จัดกิจกรรมในพื้นที่ที่อยู่ในรายชื่อดังกล่าวจะได้รับสิทธิหักรายจ่าย 2 เท่า ขณะที่พื้นที่อื่นสามารถใช้สิทธิหักรายจ่าย 1.5 เท่า ตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร

 “รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ยังคงเดินหน้านโยบายภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยใช้มาตรการทางภาษีเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศและการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อให้ภาคธุรกิจและประชาชนเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน” น.ส.ลลิดากล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.