‘ชาวบ้าน’เชียร์ คนละครึ่งพลัส แนะทำ‘ยั่งยืน’

คนละครึ่งพลัสติดลมบน  69.5% พอใจสูงสุด โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือและกลุ่มเจนวาย ปชช.เกินครึ่งหนุนทำต่อเนื่องและยั่งยืน "โกศลวัฒน์" เตือนอย่าเห็นแก่ได้ หากทุจริตมีคดีแพ่ง-อาญาพรึ่บ 

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 พ.ย.2568 สำนักวิจัยซูเปอร์โพลเปิดเผยรายงานผลการสำรวจเรื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคนละครึ่งพลัส จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ 1,248 ตัวอย่าง โดยพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ 69.5% อยู่ในกลุ่มพอใจสูงสุด สะท้อนถึงความรู้สึกเชิงบวกต่อมาตรการดังกล่าว ขณะที่ประชาชน 22.1% แสดงความพึงพอใจในระดับปานกลาง และมีเพียง 8.4% เท่านั้นที่ไม่พึงพอใจ

ที่น่าสนใจคือ เมื่อจำแนกความพึงพอใจต่อมาตรการคนละครึ่งพลัสตามภูมิภาค พบว่า ทุกภูมิภาคมีแนวโน้มความพึงพอใจในระดับสูง โดยเฉพาะภาคเหนือ มีสัดส่วนกลุ่มพอใจสูงสุดมากที่สุด 73.8% รองลงมาคือ ภาคใต้ 71.4%, กรุงเทพฯ 70.4%, ภาคกลาง 68.2% และภาคอีสาน 68.1% ในขณะที่กลุ่มพอใจน้อยหรือไม่พึงพอใจมีสัดส่วนต่ำในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะภาคเหนือซึ่งมีเพียง 4.7% เท่านั้น

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาตามช่วงอายุ พบว่ากลุ่ม Gen Y (29-44 ปี) มีความพึงพอใจสูงสุดที่ 73.8%   รองลงมาคือ Gen X (45-60 ปี) 70.5%, Baby Boomers (มากกว่า 60 ปี) 68.9% และ Gen Z (ไม่เกิน 28 ปี) 64.8% สอดคล้องกับลักษณะทางเศรษฐกิจของแต่ละวัย โดยกลุ่มวัยทำงาน (Gen Y และ Gen X) มักเป็นผู้มีภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน จึงเห็นผลเชิงบวกจากการใช้สิทธิโครงการโดยตรง  ขณะที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ (Gen Z) มีแนวโน้มใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจจริงน้อยกว่า จึงมีระดับความพึงพอใจที่ต่ำลงเล็กน้อย นอกจากนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ 52.7% ระบุว่าต้องการให้ทำต่อเนื่องและยั่งยืนในระยะยาว, 38.7% เห็นว่าควรทำเฉพาะช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา และ 8.6% ไม่ต้องการให้ทำต่อ

ซูเปอร์โพลยังมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1.ขยายผลในลักษณะโครงการถาวรเชิงกลยุทธ์ โดยปรับวงเงินและรูปแบบการร่วมจ่ายให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจรายไตรมาส 2.เสริมระบบดิจิทัลและข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อให้ติดตามผลได้แบบเรียลไทม์และลดปัญหาทุจริต 3.เน้นสื่อสารกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ (Gen Z) ด้วยภาษาที่ตรงกลุ่มผ่านช่องทางออนไลน์ สื่อสังคม และ 4.พัฒนาโมเดลเศรษฐกิจชุมชนยั่งยืน โดยใช้คนละครึ่งพลัสเป็นเครื่องมือหลักในการกระจายรายได้ให้ผู้ประกอบการรายย่อยในระยะยาวทั่วประเทศ

นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง อธิบดีอัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน (สคช.) โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “เตือนใช้คนละครึ่ง..!” ระบุว่า โครงการคนละครึ่งแค่ 2-3 วันแรก ก็มีการจับกุมดำเนินคดีกันแล้ว เพราะรัฐให้สิทธิซื้อ ใช้จ่าย รัฐช่วยจ่ายครึ่งหนึ่ง แต่กลับเอาสิทธินั้นไปแลกเงินสด หรือประกาศให้คนมาแลกเงินสด อาจเข้าข่ายร่วมกันฉ้อโกง และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นข้อห้ามเด็ดขาด เพราะถือเป็นการทุจริต ความเดือดร้อนจะตามมา โครงการต่อไปอาจถูกระงับสิทธิตลอดไป ที่หนักกว่านั้นคือถูกดำเนินคดี

"ในช่วงที่เป็นรองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีศาลแขวง ก็มีการฟ้องเรียกให้คืนเงิน โครงการรถคันแรก เพราะทำผิดกติกา เช่น นำรถไปขายก่อนระยะเวลากำหนด และในโครงการอื่นก็มีกำลังติดตามเงินคืนกันอยู่ เป็นต้น จึงฝากเตือนด้วยความห่วงใยและหวังดี รัฐบาลช่วยเหลือประชาชนแล้ว ขอให้ประชาชนใช้สิทธิคนละครึ่งพลัส ด้วยความสุจริต เป็นการรักษาสิทธิที่เราจะได้ในโครงการต่อๆ ไป และชีวิตจะได้ไม่ต้องชดใช้เงินคืน หรือลำบากถึงต้องคดีอาญา อย่าติดกับดักของความไม่รู้ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ พวกนี้โดนดำเนินคดีทั้งแพ่งทั้งอาญาทั้งนั้น"

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และ รมว.มหาดไทย สั่งการทุกหน่วยงานเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวภายในประเทศ ด้วยมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยมุ่งให้เม็ดเงินท่องเที่ยวหมุนเวียนลงสู่จังหวัดเมืองรองและชุมชนท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้แนวคิดเที่ยวดี มีคืน และเป้าหมาย เศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง คนไทยมีรายได้ทุกพื้นที่ โดยมอบสิทธิด้านภาษีสำหรับประชาชนทั่วไปที่เดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ  ดังนี้ นำค่าที่พักและค่าอาหารหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 20,000 บาท หากเดินทางไปจังหวัดเมืองรอง หักลดหย่อนได้ 1.5 เท่า (ลดหย่อนสูงสุด 30,000 บาท).