ศก.สู่ยุคโตตํ่า! คุมเข้มร้านทอง กดเงินบาทแข็ง

"ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ" ห่วงเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ยุคโตต่ำเป็น New Normal หลังกินบุญเก่ามานาน ชี้ปัญหาเชิงโครงสร้างทุบหนัก แค่ลดดอกเบี้ยไม่พอ ลุยนำประคองเศรษฐกิจ ออกมาตรการตรงจุด จ่อทำ MOU กับคลัง-แบงก์พาณิชย์ เข็นโครงการค้ำประกันสินเชื่ออุ้มเอสเอ็มอี ฮึ่มคุมเข้มร้านทอง-เทรดผ่านแอป ปัจจัยสำคัญกดเงินบาทแข็งค่า

เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง ‘Driving Thailand Toward Sustainable Wealth : เปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทยเพื่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน’ ในงานสัมมนา Thailand Next Move 2026 : Wealth Creation ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความมั่งคั่งยั่งยืน ว่า เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในยุคของอัตราการเติบโตที่ลดต่ำลง จนกลายเป็น New Normal ซึ่งเป็นการเติบโตที่ช้ากว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากหลายปัญหาในเชิงโครงสร้าง อาทิ ปัญหาด้านขีดความสามารถในการแข่งขัน ปัญหาด้านผลิตภาพการผลิต ปัญหาเรื่องแรงงาน ปัญหาสังคมสูงวัยที่ส่งผลทำให้กำลังซื้อลดลง ปัญหาด้านการศึกษา รวมถึงปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง เป็นต้น

ขณะเดียวกันประเทศไทยขาดการลงทุนมานาน โดยอาศัยการเติบโตจากอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีเก่า อาศัยการเติบโตจากบุญเก่า จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน และทำให้เศรษฐกิจไม่สามารถเติบโตได้ตามศักยภาพ อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำสูง ดังนั้นแม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลัง และนโยบายการเงิน การจะทำให้เศรษฐกิจโตถึงศักยภาพในปัจจุบันที่ 2.7% จึงยังไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่

 “เราเห็นความเสี่ยงมากมาย ทั้งจากการเมือง จากต่างประเทศ และเรื่องสงครามระหว่างไทย-กัมพูชาที่มากระแทกซ้ำเติม ถ้าเราไม่เปลี่ยนศักยภาพเศรษฐกิจไทยในปีนี้ก็จะโตอยู่แถวๆ 2.2% ส่วนปีหน้า 1.5% เนื่องจากส่งออกจะขยายตัวได้ต่ำกว่า 1% ท่องเที่ยวแม้จะกระเตื้องขึ้น แต่ก็ไม่ได้มีน้ำหนักมากนัก เพราะถูกทอนจากการส่งออกที่คาดว่าจะอ่อนแอลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2569 ขณะที่ปี 2570 จะเติบโตที่ 2.3% ภายใต้ปัจจัยเสี่ยงมากมาย ถ้าเราไม่เปลี่ยนการเติบโตตามศักยภาพของจีดีพีไทยจะไม่เพิ่ม” ผู้ว่าการ ธปท.ระบุ

โดยปัจจุบันต้องยอมรับว่าสินเชื่อไม่ขยายตัว จึงไม่เกิดการลงทุน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีซึ่งมีสัดส่วนการจ้างงานในระบบถึง 70% และคิดเป็นสัดส่วนบริษัทในระบบกว่า 88-89% ยังมีปัญหาเรื่องการเข้าถึงสินเชื่อ สะท้อนจากสินเชื่อเอสเอ็มอีที่ติดลบต่อเนื่อง 13 ไตรมาส คิดเป็น 36 เดือน หรือ 3 ปี ขณะที่ภาพรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และหนี้กลุ่มที่เฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) อยู่ในระดับสูงมาก ที่ผ่านมาคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% แล้ว 5 ครั้ง รวมเป็น 1.25% ในรอบ 1 และปรับลดล่าสุดเมื่อ 17 ธ.ค.นั้น เป็นการลดลงต่ำสุดในรอบ 3 ปี แต่ยืนยันว่า กนง.ยังเหลือกระสุนเพียงพอที่พร้อมจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงต่อ แต่จำเป็นจะต้องมีเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็นบ้าง

นายวิทัยกล่าวว่า ธปท.จำเป็นจะต้องปรับตัว ไม่ใช่แค่ดูเรื่องเสถียรภาพในระบบการเงินเพียงอย่างเดียว โดย ธปท.ต้องมาเป็นผู้นำในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่แค่วิเคราะห์และชี้ให้เห็นถึงปัญหาเท่านั้น และการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างนี้ก็ไม่ใช่การเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการบริโภคระยะสั้นหรืออะไรในสิ่งที่ไม่จำเป็น เพราะปลายทางสุดท้าย เมื่อเศรษฐกิจดี ประชาชนจะกินดีอยู่ดี แต่หากไม่ช่วยกันทำอะไรเลย เศรษฐกิจไทยจะพัง คนจนทั้งประเทศ ดังนั้นจึงอยากให้ทุกฝ่ายมาช่วยกันแก้ไขปัญหา เช่นเดียวกับ ธปท. ที่จะอยู่แบบเดิมไม่ได้ ภายใต้ค่านิยม ยื่นตรง มองไกล ยื่นมือ ติดดิน

 “ธปท.ต้องปรับบทบาทมาเป็นผู้นำในการช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เราต้องยื่นมือช่วยประคองเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่การทำหน้าที่ในการดูแลเสถียรภาพทางการเงินเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะเรื่องอัตราเงินเฟ้อ ที่ต้องยอมรับว่าปีนี้จะติดลบที่ 0.1% แน่นอน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะทยอยกลับสู่กรอบเป้าหมายที่ 1% ภายในต้นปี 2570 ส่วนปี 2569 ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังอยู่ต่ำที่ราว 0.3-0.5% แต่อยากให้สังคมไม่ต้องกังวลว่า ประเทศไทยยังไร้สัญญาณภาวะเงินฝืดแน่นอน” นายวิทัยระบุ

ทั้งนี้ ธปท.จะมีการลงนามความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับกระทรวงการคลัง และธนาคารพาณิชย์ ในโครงการค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งเชื่อว่าจะมีส่วนช่วยให้เอสเอ็มอีไทยสามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้มากขึ้น ส่วนก่อนหน้านั้นมีการออกมาตรการแก้ปัญหาหนี้เสียรายย่อย ในกลุ่มไม่เกิน 1 แสนบาท จำนวน 1.6 ล้านราย และหลังจากนี้จะมีอีก 7-8 มาตรการ ซึ่งเป็นมาตรการเฉพาะจุดที่จะเร่งทยอยออกมาตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป

ผู้ว่าการ ธปท.เปิดเผยถึงสถานการณ์การแข็งค่าของเงินบาทในขณะนี้ว่า ธปท.ได้ติดตามพัฒนาการของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด และได้เข้ามาดูแลในบางช่วงที่เงินบาทแข็งค่าหรืออ่อนค่าเร็วเกินไป โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าเงิน ได้แก่ 1.การอ่อนค่าลงของดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ซึ่งในปีนี้พบว่าดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงไปแล้ว 10% การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และ 3.ปัจจัยที่ไม่ใช่เชิงพื้นฐาน เช่น การไหลเข้าของเงินทุน สกุลเงินดิจิทัล และทองคำ ที่เมื่อราคาทองคำขึ้นเร็วมากจะส่งผลต่อค่าเงินมากเช่นเดียวกัน โดยในเดือนที่ผ่านมาราคาทองคำปรับขึ้นไปแล้ว 5%

ทั้งนี้ พบว่าปัจจุบันมีผู้ค้าทองคำรายใหญ่ราว 15-16 ราย ซึ่งมีการซื้อขายทองผ่านแพลตฟอร์ม หรือแอปพลิเคชัน ซึ่งน่าจะคิดเป็นธุรกรรมสูงถึงกว่า 40-50% ของจีดีพี ขณะที่ปริมาณการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (FX) รายวันของกลุ่มผู้ค้าทองคำต่อปริมาณการซื้อขายทองรวมทั้งหมดในตลาด เฉลี่ยอยู่ที่ราว 8% แต่ในวันที่เงินบาทขึ้นลงเร็ว หรือแข็งค่าเร็วนั้น ปริมาณการซื้อขาย FX ของร้านทองอาจสูงถึง 20.5% ของปริมาณการซื้อขายในตลาดทั้งหมด ตรงนี้เป็นประเด็นที่น่ากังวล

 “จะมีคนถามเสมอว่า ธปท.ทำอย่างไรกับค่าเงิน ยืนยันว่าเราทำทุกวัน โดยเฉพาะเรื่องทอง ซึ่งมีผลกับค่าเงิน เรามีมาตรการแรง เช่นกันกับการเก็บภาษีขาเข้า แต่ถามว่าตลาดพร้อมกันไหม เราคิดว่าต้องเป็นมาตรการที่ค่อยเป็นค่อยไป การจะเก็บภาษีแบบยุคก่อน ที่ ธปท.เคยดำเนินการจนส่งผลกระทบให้ตลาดติดลบไปกว่า 13% นั้น ประเมินแล้วไม่เป็นผลดี และเชื่อว่าคงไม่มีใครเห็นด้วย ซึ่งเหตุการณ์นั้นเป็นบทเรียนที่เจ็บปวดของ ธปท. ในยุคนั้นเช่นกัน” นายวิทัยกล่าว

อย่างไรก็ตาม ได้มีการหารือกับกระทรวงการคลัง ในการแก้ประกาศเพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลธุรกิจทองคำ โดยเฉพาะผู้ค้ารายใหญ่และแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมถึงการเรียกดูข้อมูลการทำธุรกรรมในบางส่วนที่เกี่ยวกับการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ รวมถึงสั่งการให้ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดในการตรวจสอบเอกสารก่อนรับทำธุรกรรม FX ที่เกี่ยวข้องกับทองคำ โดยต้องเรียกหลักฐานทุกธุรกรรม เพื่อป้องกันการนำเงินเข้าประเทศที่ไม่พึงประสงค์ หรือไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนหารือกับหน่วยงานที่ออกพันธบัตรขนาดใหญ่ เพื่อขอให้ชะลอการออกพันธบัตรในช่วงที่ค่าเงินผันผวน เพื่อลดแรงจูงใจในการไหลเข้าของเงินทุน นอกจากนี้ยังมีการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อช่วยติดตามแหล่งที่มาของสกุลเงินดิจิทัล (คริปโตเคอร์เรนซี) เพราะเป็นจุดที่สังคมตั้งคำถามว่าเกี่ยวข้องกับเงินเทาหรือไม่

 “เป็นความโชคดีของผมที่สนิทสนมกับ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง เราเป็นเพื่อนกัน ดังนั้นนโยบายการเงินและนโยบายการคลังในช่วงนี้จึงสอดประสานกันได้เป็นอย่างดี ทำงานได้โดยไม่มีปัญหาเลย ส่วนเรื่องความเป็นอิสระของ ธปท. ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบายดอกเบี้ย หรือค่าเงิน กระทรวงการคลังไม่เคยก้าวก่าย เช่นเดียวกับรัฐบาล ที่ไม่ได้พูดเพียงอย่างเดียว แต่ต้องลงมือทำด้วย” ผู้ว่าการ ธปท.ระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จีนปัดส่งอาวุธช่วยเขมร

"อนุทิน" ฟาดเขมรมีสติควรเจรจา ฮึ่ม! ต้องได้เนิน 350 กองทัพชี้สู้ยืดเยื้อจุดยุทธศาสตร์พื้นที่่ช่วงชิง พร้อมเร่งค้นหาร่างทหาร 2 นาย