
14 พ.ย.2566 – วันที่ 13 พฤศจิกายน เวลา 16.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นนครซานฟรานซิสโกซึ่งช้ากว่ากรุงเทพฯ 15 ชั่วโมง) ณ ห้อง The Director ชั้น 3 โรงแรม Ritz-Carlton นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมงานสัมมนาโครงการ “Thailand Landbridge Roadshow” และกล่าวเปิดงานสัมมนาว่า งานสัมมนาในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและการคมนาคมขนส่ง รวมทั้งยังเป็นโอกาสการลงทุนที่ดีสำหรับภาคเอกชนอีกด้วย โดยทั่วโลกมีมูลค่าการค้ารวมกว่า 38 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี เอเชียเป็นภูมิภาคที่มีมูลค่าการส่งออกและนำเข้าสูงสุดประมาณ 40% รองลงมาคือยุโรปที่ประมาณ 38% ซึ่งสำหรับการค้าทางทะเลระหว่างเอเชียและยุโรป เรือขนส่ง (container ship) ทุกลำจะต้องผ่านช่องแคบมะละกา
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ช่องแคบมะละกาถือเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าหลักในระดับภูมิภาคสำหรับประเทศที่มีพรมแดนติดกับมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย หนึ่งในสี่ของการค้าโลก และน้ำมันมากกว่า 70% ที่ส่งออกจากภูมิภาคตะวันออกกลางก็ขนส่งผ่านช่องแคบมะละกา ทำให้กลายเป็นคอขวดที่มีการขนส่งคับคั่งที่สุดในโลก โดยในแต่ละปีมีเรือประมาณ 90,000 ลำ ผ่านช่องแคบมะละกา และเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 2.35 % ทุกปี ซึ่งปริมาณดังกล่าวคาดว่าจะเกินความจุของช่องแคบมะละกาภายในปี 2573 หากช่องแคบมะละกามีความแออัดมากขึ้น อาจส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมาก
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ช่องแคบมะละกาเป็นช่องแคบที่ยาวและแคบ โดยเฉพาะในช่องฟิลลิป (the Philips Channel) ที่อยู่ตรงช่องแคบสิงคโปร์ (the Singapore Strait) ซึ่งมีความกว้างเพียง 2.8 กิโลเมตร เรือจึงต้องเข้าคิวและเคลื่อนตัวช้าๆ ในแต่ละปีมีอุบัติเหตุทางทะเลมากกว่า 60 ครั้งต่อปีเกี่ยวข้องกับเรือหลากหลายประเภท ตั้งแต่เรือท้องถิ่นไปจนถึงเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ แต่ส่วนใหญ่เป็นเรือบรรทุกสินค้าทั่วไปที่เสี่ยงต่อการการปล้นเรือ และสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จึงคาดว่าการขนส่งสินค้าผ่านช่องแคบมะละกาจะประสบปัญหามากขึ้นในอนาคต รวมถึงเวลาการขนส่งและต้นทุนที่มากขึ้น เนื่องจากเรือต้องรอหลายวันก่อนที่จะถึงสิงคโปร์ และทำให้ต้องเสียค่าเสียโอกาส และต้นทุนที่สำคัญ เนื่องจากการเน่าเสียของสินค้าในระหว่างความล่าช้า
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ด้วยที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ใจกลางคาบสมุทรอินโดจีน และการเชื่อมโยงระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ประเทศไทยจึงได้พัฒนาและกลายมาเป็นศูนย์กลางทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญสำหรับการผลิตและการขนส่ง โครงการแลนด์บริดจ์จะเป็นเส้นทางเพิ่มเติมที่สำคัญ เพื่อรองรับการคมนาคมขนส่ง และเป็นทางเลือกที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาช่องแคบมะละกา ที่ถูกกว่า เร็วกว่า และปลอดภัยกว่า
นายเศรษฐา กล่าวว่า เมื่อเปรียบเทียบต้นทุนและเวลาสำหรับการขนส่งผ่านแลนด์บริดจ์กับช่องแคบมะละกาแล้ว กลุ่มเป้าหมายที่เป็นไปได้ของแลนด์บริดจ์คือเรือตู้สินค้า (feeder vessels) สินค้าจากประเทศจีนและประเทศในยุโรปโดยเรือแม่ (Mainline vessel) จะได้รับการส่งต่อโดยเรือตู้สินค้าในพื้นที่นี้ ซึ่งช่วยประหยัดต้นทุนได้อย่างน้อย 4% และดำเนินการได้เวลา 5 วัน สินค้าจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังเอเชียกลาง และตะวันออกกลางโดยใช้เรือตู้สินค้า ข้ามระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกสามารถประหยัดต้นทุนได้อย่างน้อย 4% และประหยัดเวลาได้ 3 วัน และผลิตภัณฑ์จากประเทศไทย ลาว กัมพูชา และจีนตอนใต้ ไปจนถึง BIMSTEC และประเทศในทวีปยุโรป สามารถกระจายได้โดยใช้เรือตู้สินค้าที่แลนด์บริดจ์ไปยังภูมิภาคต่างๆ ได้ สิ่งเหล่านี้จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากถึง 35% และประหยัดเวลาได้ 14 วัน โดยสรุปการขนส่งสินค้าผ่านแลนด์บริดจ์จะช่วยลดเวลาการเดินทางได้ 4 วัน และลดต้นทุนโดยเฉลี่ยได้ 15%
ปริมาณสินค้าทั้งหมดที่ท่าเรือฝั่งตะวันตกจะอยู่ที่ 19.4 ล้าน TEUs และท่าเรือฝั่งตะวันออกนั้นจะอยู่ที่ 13.8 ล้าน TEUs คิดเป็นประมาณ 23% ของการขนส่งสินค้าทั้งหมดของท่าเรือมะละกา ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและการพาณิชย์ และในฐานะจุดเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างตะวันออกและตะวันตก ภูมิภาคนี้จะมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญเช่นกัน
นายเศรษฐา กล่าวว่า สำหรับน้ำมันดิบ ปริมาณที่ผลิตได้จากตะวันออกกลางเพื่อการขนส่งอยู่ที่ประมาณ 19 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยมี 56% หรือประมาณ 10.7 ล้านบาร์เรลต่อวันที่ผ่านช่องแคบมะละกา และ 44% ไปยังเอเชียตะวันออกไกล (Asian Far East) และที่เหลือ 7% ไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โครงการ Landbridge จึงมีความน่าสนใจเป็นพิเศษสำหรับ 7% นี้ เนื่องจากจะช่วยประหยัดต้นทุนได้อย่างน้อย 6% นอกจากนี้ นักลงทุนยังจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนา Landbridge ในภาคบริการ ผ่านโลจิสติกส์ อสังหาริมทรัพย์ และการธนาคาร ในภาคการผลิตขั้นปฐมภูมิ (Primary Sector) ผ่านผลผลิตทางการเกษตรที่เพิ่มขึ้น และในภาคอุตสาหกรรม ผ่านทางอุตสาหกรรมใหม่ (New S-curves) และการผลิต
นายเศรษฐา กล่าวว่า โครงการแลนด์บริดจ์จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม สร้างงาน 280,000 ตำแหน่ง และคาดว่า GDP ของไทยจะเติบโต 5.5% ต่อปี หรือเทียบเท่ากับ 670,000 ล้านดอลลาร์เมื่อดำเนินโครงการอย่างเต็มรูปแบบ เชื่อมั่นว่า โครงการแลนด์บริดจ์เป็นโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนในการลงทุนในโครงการสำคัญเชิงพาณิชย์และเชิงกลยุทธ์ ที่เชื่อมโยงมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย โดยเชื่อมโยงผู้คนในภาคตะวันออกกับตะวันตกเข้าด้วยกัน โดยนายกฯ ได้กล่าวเชิญชวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกคนให้สำรวจโอกาสในการเข้ามาเป็นหุ้นส่วนในโครงการประวัติศาสตร์นี้ และได้รับประโยชน์ร่วมกัน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' สวน พท. ใครทำงานห่วย ยุครัฐบาลนิด-อิ๊งค์ ติดโพลอันดับ 2
'อนุทิน' สวนเพื่อไทย ถ้าทำงานห่วย คนตั้งก็แย่สิ ยุครัฐบาล 'อิ๊งค์ - เศรษฐา' ผลโพลชี้ชัดนั่งแท่นอันดับ 2 ทิ้งห่าง พท. หัวเราะให้คะแนนตัวเอง 'เดี๋ยวจะหาว่าคุย'
‘อนุทิน’ เปิดความร่วมมือรัฐ–เอกชน กว่า 30 ราย ผนึก 'รวมใจไทย ฟื้นแดนใต้' ลดราคาสินค้า สูงสุด 50%
ที่บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ช
นายกฯขอดูพื้นที่ประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน หลังจว.อื่นกังวลไม่ครอบคลุมเยียวยา 2 ล้าน
ที่บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ นำคณะ เข้าพบ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดกิจกรรมกระเช้าปีใหม่สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศา
'อนุทิน' เมินดรามา 'บิ๊กโจ๊ก' เปิดแชทไลน์ผู้บริหาร สธ. คุยคนตาย บอกเรื่องปกติถูกโจมตี
นายกฯ เมิน ดรามา ‘บิ๊กโจ๊ก’เปิดแชทไลน์ผู้บริหาร สธ. คุยคนตาย บอก ‘ผมมาทำงาน อยู่แวดวงการเมืองมานาน’ มองเรื่องปกติถูกโจมตี
นายกฯ เตรียมประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แก้ปัญหาน้ำท่วมใต้
ที่จังหวัดสงขลา พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางมายังศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกลาโหมส่วนหน้า โด
นายกฯ ขอปชช.พักศูนย์พักพิงก่อน เร่งสำรวจจ่ายเยียวยา
นายกฯลงหาดใหญ่ เยี่ยมปชช.ศูนย์พักพิงฯ พร้อมให้กำลังใจมอบถุงยังชีพ ผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วมในพื้นที่


