‘ทักษิณ’ ลุยฝาง ช่วย ‘ก๊อง’ หาเสียงชิงเก้าอี้นายกอบจ.เชียงใหม่ อ้อนคนเชียงใหม่ ช่วยรักษาหน้า ถ้ามาขอเอง แล้วแพ้ต้องเอาปี๊ปหน่อไม้คลุมมาแทน
29 ม.ค.2568 - จากนั้นเวลา 16.20 น. นายทักษิณเดินทางมาปราศรัยต่อที่สนามกีฬากลางอำเภอฝาง จ.เชียงใหม่ เพื่อช่วยนายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่หาเสียง โดยมีประชาชนรอฟังการปราศรัยเต็มพื้นที่
นายทักษิณ ปราศรัยว่า ตนดีใจมากที่ได้มาพบกับประชาชนชาวอ.ฝาง เพราะไม่ได้มานาน และได้พูดคุยกับนายก อบจ.เชียงใหม่ให้พัฒนาถนนมายังอ.ฝางให้เป็น 4 เลน รวมถึงได้พูดคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้แก้ปัญหาถนนที่มายังอ.ฝางที่คดเคี้ยวด้วยการเจาะอุโมงค์ เพื่อย่นระยะเวลาให้สั้นลง
“เทศกาลตรุษจีนให้ประชาชนใส่เสื้อสีแดงและกินส้มให้ได้ เพราะการเลือกตั้งคราวที่แล้ว ผมไม่ได้อยู่ในประเทศ ชาวเชียงใหม่คงรอผมไม่ไหว ไปเลือกพรรคส้ม 7 คนจาก 10 คน ฉะนั้น คราวนี้ผมกลับมาแล้ว ขอทวง สส.เชียงใหม่คืนทั้งหมด และ 17 ปีที่ตนจากไปที่ผ่านมา 17 ปีต่อจากนี้ ผมจะขอทำงานคืนให้กับชาวเชียงใหม่” นายทักษิณ กล่าว
นายทักษิณ กล่าวต่อว่า การเลือกนายกอบจ.เชียงใหม่เมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา ตนเขียนจดหมายน้อยมาถึงชาวเชียงใหม่ เพื่อขอคะแนนให้นายพิชัย ซึ่งนายพิชัยก็ได้มากว่า 4 แสนคะแนน แต่คราวนี้ตนกลับมาแล้ว มาขอคะแนนจากชาวเชียงใหม่ด้วยตัวเอง ดังนั้น ต้องได้มากกว่า 4 แสนคะแนน เพราะถ้ามาขอคะแนนด้วยตัวเองแล้วแพ้ จะต้องเอาปี๊บหน่อไม้มาคลุมหัว ฉะนั้น จึงขอชาวเชียงใหม่ ช่วยกันรักษามือไม้ของตน ขอให้นายพิชัยรักษาเก้าอี้นายก อบจ.เชียงใหม่ไว้ เพื่อเป็นมือไม้ แก้ปัญหาให้ชาวเชียงใหม่
นายทักษิณ กล่าวย้ำว่า ปีนี้รัฐบาลรัฐบาลตั้งใจว่า ยาเสพติดกับคอลเซ็นเตอร์จะต้องหมด ทั้งนี้ เมื่อตนกลับมาก็อยากช่วยให้ประชาชนพ้นทุกข์ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและพัฒนาในสิ่งที่พัฒนาได้ โดยเฉพาะอ.ฝางที่ไกลทั้งตัวเมืองเชียงใหม่ และจ.เชียงรายโดยเฉพาะถนนและการคมนาคม รวมถึงเรื่องปัญหาราคาหอมและกระเทียมที่ตกนั้น หลังจากนี้รัฐบาลจะต้องจัดการให้ผลผลิตที่นำเข้าจากต่างประเทศเสียภาษีให้ถูกต้อง ไม่ให้มีการลักลอบ และราคาผลผลิตสินค้าเกษตรในประเทศก็จะสามารถสู้ได้
“อีกสองสัปดาห์นี้จะมีนางแบบระดับโลกมาพบผม ซึ่งผมอยากให้เด็กไทยอายุ 14-15 ที่ไม่ได้ผ่านการศัลยกรรม ใช้ความงามธรรมชาติแบบคนไทย ไปฝึกเป็นนางแบบนางงามระดับโลก เพื่อสร้างรายได้ให้กับตัวเองและครอบครัว ผมกลับมาแล้ว และต้องการจะแก้ปัญหา แต่ประชาชนต้องช่วยเลือกนายก อบจ.และ สจ.ของพรรคเพื่อไทย เพื่อให้ผมมีมือไม้ มีทีมในการแก้ปัญหา แม้แก่แล้ว แต่ผมจะช่วยเต็มที่ ชำระหนี้ให้กับประชาชน ด้วยการกลับมาทำงานคืนให้ประชาชน” นายทักษิณ กล่าว
นายทักษิณ กล่าวต่อว่า ที่ตนไม่ได้มาฝางนาน ส่วนหนึ่งคือ เขาเอาตนไปไว้เมืองนอก ตนกลับมาแล้ว ยังเอาตนไปไว้โรงยา เพิ่งจะได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวัน พอมาเห็นพี่น้องจำนวนมากแล้วปลื้มใจม่วนอกม่วนใจ ขอให้เลือกนายพิชัยเพื่อเป็นมือเป็นไม้ให้ตน เราจะเจอกันบ่อยๆ ถนนยังไม่เสร็จก็จะมาจนเสร็จ จะมาเยี่ยมจนพี่น้องรวย ผู้หญิงงาม ผู้ชายหล่อ มีความสุขกันหมด ตอนนั้นตนก็ไปเที่ยวได้แล้ว แต่ตอนนี้ขอทำงานก่อน ขอฝากเบอร์ 2 นายพิชัยด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ไม่พลิกโผ! เพื่อไทย เปิด 3 แคนดิเดตนายกฯ 'สุริยะ-ยศชนัน-จุลพันธ์' 16 ธ.ค.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่า สำหรับรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย จำนวน 3 คนที่จะเปิดตัววันที่ 16 ธ.ค.ในกิจกรรม "ยกเครื่องประเทศไทย เพื่อไทยทำได้" ประกอบด้วย นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ บุตรชายนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์
รู้แล้วฝีมือใคร! จุดเริ่มต้นดรามา 'ซีเกมส์ 2025'
รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า วิพากษ์วิจารณ์กันจนเป็นดรามา คือเรื่องพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 33 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ
'จุลพันธ์' คุยโวเพื่อไทยพร้อมเลือกตั้งนานแล้ว อ้างคู่แข่งใช้อำนาจรัฐก็ไม่กังวล เชื่อมั่นประชาชนเป็นหลังพิงให้
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงความพร้อมในการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย หลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและรมว.มหาดไทย ยุบสภาว่า พรรคเพื่อไทยพร้อมนานแล้ว โดยยืนยันเราส่งผู้สมัครครบ 400 เขตแน่นอน ตอนนี้เราได้คัดเลือกผู้สมัครเกิน 300
เพื่อไทย เตรียมเปิดตัว 'สุริยะ-ยศชนัน-จุลพันธ์' เป็นแคนดิเดตนายกฯ
รายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย จำนวน 3 คนที่จะเปิดตัวในวันที่ 16 ธ.ค.นี้ ประกอบด้วย นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ บุตรชายนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ เป็
นักวิชาการ มธ. มองเลือกตั้งหน้า ‘พรรคประชาชน’ โดดเดี่ยว อำนาจต่อรองไหลกลับเพื่อไทย
นักวิชาการธรรมศาสตร์วิเคราะห์ผลจากการยุบสภา ชี้สมการการเมืองหลังเลือกตั้งมีแนวโน้มทำให้พรรคประชาชนโดดเดี่ยว สูญเสียอำนาจต่อรองในการจัดตั้งรัฐบาล ขณะที่บทบาทต่อรองมีโอกาสไหลกลับไปอยู่ที่พรรคเพื่อไทย ท่ามกลางการแข่งขันของการเมือง 3 ขั้ว

