โอละพ่อ! 'ภูมิธรรม' อ้าง กกต. ชงเรื่องฮั้วเลือกสว.ให้ ดีเอสไอ จี้ 'แสวง' ชี้แจง

25 ก.พ.2558- ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่วันนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะประชุม คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) เพื่อพิจารณาว่าจะรับคดีเกี่ยวกับการฮั้ว เลือก สว. เป็นคดีพิเศษหรือไม่ ในฐานะประธาน กคพ. มีความหนักใจหรือไม่ ว่า ไม่หนักใจ เราทำตามหน้าที่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ กกต.ส่งเรื่องมาให้ดีเอสไอ และเมื่อมีการส่งเรื่องมาดีเอสไอมีหน้าที่พิสูจน์ทราบว่ามีแนวโน้มจะเป็นอย่างไร หลังจากที่รวบรวมมาแล้ว ดีเอสไอก็รายงานมายังตนว่ามีข้อมูลที่น่าจะพิสูจน์ทราบได้ว่า น่าจะเป็นปัญหา

ซึ่งก่อนที่จะนำเรื่องเข้ามาตนมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับนิติบัญญัติแห่งชาติ ถ้าเป็นเรื่องจริงขึ้นมาจะเสียหายต่อสถาบันหลักของชาติ ตนถึงมองว่าอย่าใช้อารมณ์หรือมองว่าเป็นความรู้สึกในการกลั่นแกล้งทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องนี้ต้องมีข้อเท็จจริงมารองรับอย่างชัดเจน และหากกฎหมายอนุญาตให้ดีเอสไอทำ จึงจะสามารถทำได้

รองนายกฯ กล่าวต่อว่า เมื่อส่งเรื่องมายังตน ตนตกใจเพราะข้อหาพูดถึงเรื่องอั้งยี้ซ่องโจร ตนจึงได้ตั้งคำถามไปว่าใช้ข้อกล่าวหานี้ไม่รุนแรงไปใช่หรือไม่ เพราะเป็นคำพูดที่รุนแรง ซึ่งดีเอสไอระบุว่าเป็นคำพูดทางกฎหมายที่มีมานานแล้ว ข้อและเรื่องนี้เข้ากฎหมายข้อนั้นจึงต้องดำเนินการตามนั้น วันนี้ก็ต้องเอาข้อเท็จจริงทั้งหมดมาให้กรรมการฯดูให้ชัดเจน ถ้ากรรมการทั้งหมดดูแล้วเห็นว่าเป็นปัญหา ก็ต้องถามว่า ตามข้อกฎหมายเป็นอำนาจของดีเอสไอหรือไม่ ถ้าชัดเจนแล้วดีเอสไอก็จะเดินหน้าทำตามหน้าที่ โดยต้องโหวตให้ได้ 2ใน 3 หรือ 15 เสียง จาก 22 เสียง ใครไม่มา หรือหลบ หรือติดภารกิจก็ไม่นับ แต่ต้องได้ 15 เสียง

ส่วนการประชุมจะจบในวันนี้ หรือหากยังไม่ชัดเจนต้องต่อเวลาออกไป นายภูมิธรรม กล่าวว่า ยังไม่คิดขอดูข้อเท็จจริงวันนี้ หากข้อเท็จจริงชัดก็เดินหน้า แต่หากจะมีอะไรขาดตกบกพร่องก็ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม แต่ทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับที่ ประชุม เพราะข้อเท็จจริงกับข้อกฎหมายก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของที่ประชุมด้วย

เมื่อถามว่า กรณีที่ สว.ระบุว่าจะฟ้องกลับมีความกังวลหรือไม่ รองนายกฯตอบว่า เราไม่ได้หวั่นไหวอะไรเราทำตามหน้าที่ หากฟ้องก็ต้องไป กกต. เพราะกกต. เป็นคนยื่นเรื่องมายังดีเอสไอ ถ้าดีเอสไอดูแล้วไม่มีมูลก็ตัดเรื่องนี้ทิ้งไป ซึ่งในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงอยู่ที่มุมมอง เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญที่กรรมการทั้ง 22 คนต้องใช้ดุลยพินิจ ทั้งข้อ กฎหมายและข้อเท็จจริง ไม่เอาความชอบความเกลียดประเด็นทางการเมือง เข้ามาประกอบการตัดสินใจครั้งนี้

ถามย้ำ ถึงต้นตอของการตรวจสอบเรื่องนี้ มาจาก กกต. เป็นคนยื่นเรื่องใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เรื่องคือ กกต.ยื่นมา

ส่วนไม่ได้รับเรื่องมาจาก สว. สำรองใช่หรือไม่ รองนายกฯตอบว่า ว่า ต้องไปถาม กกต. เพราะกกต. ส่งเรื่องให้ดีเอสไอ

ทั้งนี้หากดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ และจบกระบวนการของดีเอสไอแล้วจะต้องส่งเรื่องไปที่ศาลใด นายภูมิธรรม กล่าว กฎหมายให้อำนาจดีเอสไอหากพิจารณาแล้วก็ต้องยื่นศาลซึ่งเป็นไปตามกระบวนการ และอัยการสูงสุดก็อยู่ในคณะกรรมการชุดนี้อยู่แล้ว

ส่วนจะต้องยื่นไปที่ศาลอาญา หรือศาลอาญาคดีและทุจริตและประพฤติมิชอบ นายภูมิธรรม ระบุว่า แล้วแต่ประเด็นและข้อกฎหมาย

เมื่อถามต่อว่าสังคมมองว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นทางการเมือง นายภูมิธรรมกล่าวว่า สังคมให้ความสนใจและรู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญ ส่วนเรื่อง การเมืองตนไม่แน่ใจว่าสังคมรู้สึกแบบนั้นหรือไม่ แต่ที่สังคมให้ความสนใจและคิดว่าหากเป็นเรื่องจริง เป็นความเสียหายต่อประเทศชาติ

“ผมจึงได้กำชับว่าให้ดำเนินการตามข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายที่ชัดเจน ให้ทำตามหน้าที่โดยไม่ต้องคิดว่าเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ใครทำผิดจริงก็ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องมานั่งปวดหัว เราพิจารณาเรื่องนี้เราไม่ได้พิจารณาว่า สว. เป็นคนของพรรคภูมิใจไทย ผมยังไม่ทราบว่าใช่หรือไม่ใช่ ต้องให้พรรคภูมิใจไทยพูดหรือแสดงท่าทีออกมาว่าเป็นคนของพรรคภูมิใจไทย ยืนยันว่าไม่มีการเมือง เรา ไม่ได้พิจารณาว่าเป็นการเมืองฝ่ายไหน“ นายภูมิธรรม ระบุ

ส่วนจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน นายภูมิธรรม ระบุว่า ให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย

เมื่อถามว่า สว. มีความเป็นห่วงถึงการใช้กระบวนการของดีเอสไอ เข้ามาตรวจสอบอาจโดนการเมืองแทรกแซง รองนายกฯ ชี้แจง ว่า ต้องไปดูที่ กกต. เป็นความรับผิดชอบของนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ที่ส่งเรื่องมาให้ดีเอสไอ เมื่อนายแสวง ส่งเรื่องมาก็ต้องคิดว่ามีเรื่องอะไรดีเอสไอตรวจสอบ

” นี่ผมเดานะไม่เช่นนั้นก็จะไม่ส่งเรื่องมาให้ดีเอสไอ ไม่ใช่ดีเอสไอไปหาคดีมาทำ คุณแสวงก็ต้องชี้แจง“ นายภูมิธรรม กล่าว

เมื่อถามว่าเรื่องนี้จะกระทบกับภาพรวมการทำงานของรัฐบาลหรือไม่ นายภูมิธรรม ยืนยันว่า ไม่กระทบเพราะการทำงานของรัฐบาลอยู่บนพื้นฐาน ความบริสุทธิ์และยุติธรรม และทำทุกอย่างตามกระบวนการของกฎหมาย ไม่ว่าพรรคไหน คนของพรรคใดกระทำความผิดก็ต้องรับผิดชอบ

ส่วนจะกระทบกับเสถียรภาพและความเชื่อมั่นของรัฐบาลหรือไม่ รองนายกฯชี้แจง ว่า ต้องคิดว่าทุกคนมีสามัญสำนึกและจิตสำนึกที่ดีที่ถูกต้อง ถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้วกระทบทางการเมือง ก็แสดงว่าการเมืองมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของ สว. ถ้าคิดว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ถ้ารู้สึกว่าจะโดนพรรคนั้นพรรคนี้ ก็แสดงว่าพรรคนั้นมีส่วนเกี่ยวข้อง หรืออาจจะมีดุลยพินิจแบบนั้นก็ได้ขออย่าคิดไปไกลแบบนั้น เอาตามข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไรและการตัดสินใจทางกฎหมายถูกต้องหรือไม่.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดีเอสไอเผยคืบหน้าคดีคุกวีไอพี อธิบดีราชทัณฑ์ ยันขรก.ทุจริตต้องถูกลงโทษ

"ดีเอสไอ" เร่งสอบเส้นทางเงินผู้ต้องขังชาวจีน พร้อมเรียกเจ้าหน้าที่และอดีต ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ให้ปากคำครบทุกฝ่าย

‘โสภณ’ ยัน ปลดล็อคขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทันก่อนปีใหม่

 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี  กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีคณะกรรมการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เคยมีมติให้ปลดล็อ

กกต.ขยับรับสมัครอบต.ใต้เป็น 8-12 ธ.ค. เหตุอุทกภัยกระทบหลายจังหวัด

กกต.ปรับรอบรับสมัครเฉพาะ 5 จังหวัดน้ำท่วม ส่วนจำนวน อบต.ทั่วประเทศลดเหลือ 4,985 แห่งจากการยกฐานะเป็นเทศบาล ต้องแบ่งเขตใหม่ก่อนจัดเลือกตั้งช่วงเมษายน 2569 หลายพื้นที่เปิดรับสมัครวันแรกคึกคัก

กกต. แจงนักการเมือง-พรรค บริจาคช่วยน้ำท่วมได้เต็มที่ แต่ระดับท้องถิ่นต้องระวังช่วง 180 วันก่อนครบวาระ

กกต. ชี้ "บริจาคช่วยภัยพิบัติ" สส.-สมาชิกพรรคทำได้เต็มที่ไม่เกินครั้งละ 3 แสนบาท แต่จะบริจาคกี่ครั้งก็ได้ ส่วนพรรคการเมืองไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อเหตุการณ์ ย้ำโปร่งใส–โฆษณาได้ 

กกต. ขอเชิญชวนสมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภา อบต. และนายก อบต. ระหว่างวันที่ 1 - 5 ธันวาคม 2568

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ระหว่างวันที่ 1 – 5 ธันวาคม 2568 เวลา 08.30 – 16.30 น. (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) ณ สถานที่ที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอประชาสัมพันธ์ผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสามารถตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม และเตรียมหลักฐานและเอกสารประกอบการ ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 1.1 มีสัญชาติไทยโดยการเกิด 1.2 ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุ ไม่ต่ำกว่า 25 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง สำหรับผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 1.3 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลที่สมัครรับเลือกตั้ง ในวันสมัครรับเลือกตั้ง เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง 1.4 วุฒิการศึกษา • สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ไม่ได้กำหนดวุฒิการศึกษา • ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิกสภาตำบล สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกรัฐสภา 2. ลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.1 ติดยาเสพติดให้โทษ 2.2 เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต 2.3 เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ 2.4 เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 39 (1) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวช (2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่ หรือ (4) วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 2.5 อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือ ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.6 ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล 2.7 เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ 2.8 เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริต ต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ 2.9 เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็น ของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2.10 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติด ในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน 2.11 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง 2.12 เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ 2.13 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น 2.14 เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ 2.15 เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ 2.16 อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2.17 เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่าเป็นผู้มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง 2.18 ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ไม่ว่าจะได้รับโทษหรือไม่ โดยได้พ้นโทษหรือ ต้องคำพิพากษามายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง แล้วแต่กรณี 2.19 เคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือกฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น แล้วแต่กรณี มายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 2.20 อยู่ในระหว่างถูกจำกัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 หรือตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2.21 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดียวกันหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น 2.22 เคยพ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะเหตุมี ส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการที่กระทำหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น หรือมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการ ที่กระทำกับหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น โดยมีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าเป็นการต่างตอบแทน หรือเอื้อประโยชน์ส่วนตนระหว่างกัน และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.23 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพราะจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ หรือมติคณะรัฐมนตรี อันเป็นเหตุให้เสียหาย แก่ราชการอย่างร้ายแรง และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.24 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะทอดทิ้งหรือละเลยไม่ปฏิบัติการตามหน้าที่และอำนาจ หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยหน้าที่ และอำนาจ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือมีความประพฤติในทางที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ศักดิ์ตำแหน่ง หรือแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือแก่ราชการ และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.25 ลักษณะอื่นตามที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3. หลักฐานและเอกสารประกอบการยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลพร้อมทั้งหลักฐานการสมัคร ดังนี้ 3.1 ใบสมัครรับเลือกตั้งตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/1 3.2 รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวก หรือ รูปภาพที่พิมพ์ชัดเจนเหมือนรูปถ่ายของตนเอง ขนาดกว้างประมาณ 8.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 13.5 เซนติเมตร จำนวนตามที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3.3 สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 3.4 สำเนาทะเบียนบ้าน 3.5 ใบรับรองแพทย์ 3.6 หลักฐานการศึกษา 3.7 หลักฐานการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปี (2565, 2566, 2567) นับถึงปีที่สมัครรับเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นผู้ไม่ได้เสียภาษีเงินได้ ให้ทำหนังสือยืนยัน การไม่ได้เสียภาษี พร้อมทั้งสาเหตุแห่งการไม่ได้เสียภาษีตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/2 4. ค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง 4.1 นายกองค์การบริหารส่วนตำบล 2,500 บาท 4.2 สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล 1,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ใดลงสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี ตามมาตรา 120 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบลได้ทางเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง www.ect.go.th หรือ Application Smart Vote หรือสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจำจังหวัดทุกจังหวัด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บริการสายด่วน 1444