ดร.ณัฏฐ์ ชี้ชัดศาลรธน.ไม่มีหน้าที่ให้คำปรึกษา-ให้ความเห็นทางกฎหมาย

ดร.ณัฏฐ์ มือกฎหมายมหาชน เผย ปมตีกรอบขยายความ “ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและให้ความเห็นทางกฎหมาย

26 ก.พ.2568 - ที่อาคารรัฐสภา ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม  หรือ “ดร.ณัฏฐ์” นักกฎหมายมหาชน กล่าวว่ากรณีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์กรณีที่ประชุม ครม.ได้มอบหมายให้นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำหนังสือถึงศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้ศาลระบุคำว่า “ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์”ให้เกิดความชัดเจนเรื่องคุณสมบัติผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น

ที่ถามว่า กรณีให้ศาลรัฐธรรมนูญตีกรอบขยายความคำวินิจฉัยในคดีนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ว่า “ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” นั้น

ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวว่าตนอธิบายและให้ความรู้แก่ประชาชนด้านกฎหมายมหาชน อำนาจพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของศาลรัฐธรรมนูญและ พรป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มิใช่ว่าจะยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญให้ศาลวินิจฉัยได้ทุกเรื่อง

โดยคำร้องที่จะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ร้องต้องมีอำนาจในการยื่นคำร้องด้วยถึงจะมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาล และเนื้อหาคำร้องจะต้องเป็นไปว่าบทบัญญัติใดของกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญด้วย

ในเรื่องอำนาจและหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญนั้นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยและวางหลักไว้เป็นบรรทัดฐานว่า “ศาลไม่มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและให้ความเห็นทางกฎหมาย โดยจะต้องปฏิบัติตามอำนาจและหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น”             

นักกฎหมายมหาชน ขยายว่า บุคคลผู้มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยกรณีประชาชน รัฐธรรมนูญเปิดช่องให้ยื่นคำร้องผ่านทั้งผ่านองค์กรผู้ตรวจการแผ่นดิน ศาล ผู้ตรวจการแผ่นดิน หรือประชาชนยื่นคำร้องต่อศาลโดยตรงได้ ตนขออธิบายว่า ตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา 231 (1) โดยช่องทางประชาชนยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน หาก ผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องเห็นว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญขัดหรือยังกับรัฐธรรมนูญให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ

ส่วนองค์กรศาล ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 212 ในกรณีที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด กรณีศาลเห็นเองหรือเฉพาะคู่ความ ที่โต้แย้ง พร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ให้ผู้ศาลเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ

กรณีประชาชนมีอำนาจยื่นคำร้องโดยตรง รัฐธรรมนูญเปิดช่องทาง 2 ช่องเท่านั้น โดยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213 เฉพาะกรณีประชาชนถูกกระทำละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ โดยเห็นว่า การกระทำนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ สามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง

อีกกรณีหนึ่ง การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ กรณีประชาชนพบเห็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯ ตามมาตรา 49 วรรคหนึ่ง ให้อำนาจประชาชนยื่นคำร้องโดยตรงได้ แต่รัฐธรรมนูญมีเงื่อนไขบังคับก่อน จะมีอำนาจยื่นคำร้องได้ จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์โดยวิธีการยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด หากอัยการสูงสุด มีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามคำขอหรือไม่ดำเนินการภายใน 15 วัน จึงจะมีสิทธิยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ

หากพิจารณาถึงอำนาจศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 ประกอบ พรป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561มาตรา 7(2) ประกอบมาตรา 44 จะต้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ที่เกิดขึ้นแล้ว ที่เป็นปัญหาระหว่างหน่วยงานใด ให้หน่วยงานนั้นมีอำนาจ ในการยื่นคำร้องต่อศาล           

ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวต่อไปว่ากรณีที่ประชุม ครม.ได้มอบหมายให้นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำหนังสือถึงศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้ศาลระบุคำว่า “ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” ให้เกิดความชัดเจนเรื่องคุณสมบัติผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น           

ถือเป็นเพียง การยื่นคำร้องขอให้ศาลอธิบาย ขยายความ ในคำวินิจฉัยในคดีที่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ตกเก้าอี้ เพราะไปเสนอทูลเกล้า นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

หากพิจารณาการตรวจสอบประวัติ คุณสมบัติของบุคคลในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี การเสนอทูลเกล้าฯ รายชื่อบุคคลเพื่อมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี ในการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นอำนาจหน้าที่และอำนาจนายกรัฐมนตรี จึงไม่เป็นไปตามพรป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561มาตรา 7(2) ประกอบมาตรา 44ประกอบมาตรา 46 ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยว่า ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัยเพราะไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและพรป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561

การโยนหินถามทางในเรื่องคุณสมบัติรมต.โดยเฉพาะมาตรา 160 (4) มีความซื่อสัตย์สุจริตเชิงประจักษ์  โดยนำโมเดลของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีตกเก้าอี้มาถอดบทเรียนของพรรคเพื่อไทย บ่งชี้ได้ว่า มีแนวโน้มสูงจะมีการปรับ ครม.หลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ

บุคคลที่จะมานั่งรัฐมนตรี พุ่งเป้าที่ไป รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และนายชาดา ไทยเศรษฐ์          

แต่คุณสมบัติมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและที่ระบุไว้ในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในคดีนายเศรษฐา ทวีสิน มีความหมายลักษณะกว้าง หากอ่านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเด็ดขาดและผูกพันทุกองค์กร ตามาตรา 211 วรรคสี่ แม้บางคนเคยต้องคำพิพากษาในต่างประเทศ ย่อมมีคุณสมบัติต้องห้าม ตามมาตรา 160 (4) ไปด้วย หากนายกรัฐมนตรีฝ่าฝืนเสนอรายชื่อ งานเข้าแน่นอน เพราะไม่ได้มีขอบเขตเฉพาะเขตราชอาณาจักรไทย

หากพิจารณ คำร้องที่ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อนหน้านี้นั้นศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไม่รับคำร้องของนายไผ่ ลิกค์ ส.ส.พรรคกล้าธรรม ซึ่งขณะนั้น เป็น ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ที่มีแนวโน้มว่าจะไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ แต่ติดคุณสมบัติกรณีเคยถูกศาลพิพากษาจำคุก 6 เดือน แต่รอการลงโทษไว้

ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานกรณีไม่รับคำร้องไว้พิจารณาว่า“ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและให้ความเห็นทางกฎหมาย” ไม่ต้องตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ประกอบ พรป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 46 มาแล้ว

       

“การโยนหินถามทางของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร สามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ แต่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานไม่รับคำร้องไว้พิจารณา เพราะอำนาจในการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และ อำนาจรับคดีตามคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญไว้วินิจฉัย ถือเป็นคนละขั้นตอนกัน” ดร.ณัฐวุฒิ ระบุ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ชัยวุฒิ' จี้ 'อภิสิทธิ์' ประกาศให้ชัดจะร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยไหม

'ชัยวุฒิ' จี้ 'อภิสิทธิ์' ชี้แจงให้ชัด จะร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ หลังประกาศไม่ร่วม 'กล้าธรรม' ชี้ FC ประชาธิปัตย์สับสน

'เดชอิศม์' เปิดใจเว้นวรรคการเมือง ไม่ลงสมัครเลือกตั้ง ไม่เป็นสมาชิกพรรค

นายเดชอิศม์ ขาวทอง อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และอดีต สส.สงขลา เขต 5 โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า เปิดใจนายกชาย "ผมขอหยุด เพื่อประกาศให้คนไทยเห็นว่าผมไม่เห็นด้วยกับระบบการเมืองที่บิดเบี้ยวในขณะนี้"