
23 มี.ค. 2568 – สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นเฉพาะประชาชนที่มีหนี้สินต่อกรณี “ซื้อหนี้..แก้ปัญหาให้ประชาชน” กลุ่มตัวอย่างเป็นประชาชนที่มีหนี้สิน จำนวน 1,153 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 18-21 มีนาคม 2568 พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีหนี้ในระบบ (สถาบันการเงิน ธนาคาร บัตรเครดิต) มากที่สุด ร้อยละ 51.60 โดยจัดการด้วยการชำระเฉพาะขั้นต่ำทุกงวด ร้อยละ 25.09 กรณีแนวคิดของ “ทักษิณ” ที่จะซื้อหนี้ประชาชนออกจากระบบธนาคาร ให้ผ่อนชำระใหม่แบบลดภาระ และล้างเครดิตบูโรโดยไม่ใช้เงินของรัฐ กลุ่มตัวอย่างที่มีหนี้มองว่าเห็นด้วย ร้อยละ 62.19 เพราะช่วยรวมหนี้ทั้งหมดมาไว้ที่เดียว ดอกเบี้ยถูกลง ช่วยให้คนที่มีหนี้สบายใจขึ้น ฯลฯ โดยมองว่าแนวคิดซื้อหนี้จะช่วยแก้ปัญหาหนี้สินของคนไทยให้หมดไปได้ ร้อยละ 57.73 และช่วยไม่ได้ ร้อยละ 42.27 ทั้งนี้คิดว่าหากไม่ใช้วิธีซื้อหนี้ ออกจากระบบธนาคาร รัฐบาลควรใช้วิธีการปรับโครงสร้างหนี้ เช่น ขยายเวลาผ่อน ลดค่างวด ร้อยละ 67.45 รองลงมาคือ ลดค่าครองชีพ ร้อยละ 64.76
นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า จากผลโพลบ่งบอกถึง “ความทุกข์” ของคนไทยที่มีหนี้และอยู่ในภาวะการเงินที่เปราะบาง แม้มีความหวังต่อมาตรการใหม่อย่างการ “ซื้อหนี้” ที่อาจช่วยปลดล็อกความอึดอัดจากหนี้สิน แต่ก็ยังมีความกังวลว่าจะกลายเป็นการแก้ปัญหาแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ และไม่ยั่งยืนในระยะยาว เสียงส่วนใหญ่จึงเรียกร้องให้รัฐบาลปรับโครงสร้างหนี้ ลดภาระค่าครองชีพ และลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือประชาชน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์มนตรี พานิชยานุวัฒน์ กรรมการบริหารหลักสูตรกฎหมายมหาชนและการบริหารงานยุติธรรม โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่าผลโพลนี้สะท้อนถึงความต้องการของประชาชนที่มีหนี้สิน ในการหาทางออกที่ลดภาระหนี้ในระยะสั้น แต่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความโปร่งใสและผลกระทบในระยะยาว โดยส่วนใหญ่เห็นด้วยในแนวคิดของการซื้อหนี้ประชาชนออกจากระบบธนาคาร เชื่อว่าจะแก้ปัญหาหนี้สินได้ แนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สิน หากไม่ใช้วิธีซื้อหนี้ ประชาชนเห็นว่าการปรับโครงสร้างหนี้จะช่วยลดภาระหนี้ในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ การลดค่าครองชีพและอัตราดอกเบี้ยก็เป็นมาตรการเสริมที่ได้รับการสนับสนุนอย่างมาก นอกจากนั้นประชาชนส่วนใหญ่มีหนี้ในระบบ ซึ่งอาจได้รับการดูแลจากสถาบันการเงินที่มีมาตรฐาน แต่หนี้นอกระบบก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ การจัดการหนี้ของประชาชนจะใช้การชำระขั้นต่ำเป็นทางออกที่เลือกใช้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสามารถใช้ข้อมูลผลโพลนี้ในการออกแบบนโยบายที่สมดุลระหว่างการช่วยเหลือประชาชนและการรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ดุสิตโพล' เผยดัชนีการเมืองไทย พ.ย. ตก มหาอุทกภัยหาดใหญ่กดคะแนนรัฐบาล
สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนพฤศจิกายน 2568” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 2,208 คน
‘ดุสิตโพล’ ชี้ภูมิใจไทยได้เปรียบสุดในการเลือกตั้ง
“สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “พรรคการเมืองไทย พรรคใดได้เปรียบ” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,794 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 19-21 พฤศจิกายน 2568 พบว่า พรรคภูมิใจไทยถือเป็นพรรคที่มีความได้เปรียบมากที่สุดถึง 8 ข้อ
ดุสิตโพลชี้คนพร้อมเลือกตั้งแต่ยังกังวลปัญหาการเมืองซ้ำรอย
“สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ความพร้อมของพรรคการเมืองกับการเลือกตั้ง” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,174 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 4-7 พฤศจิกายน 2568 พบว่า กลุ่มตัวอย่างค่อนข้างพร้อมสำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปี 2569 ร้อยละ 56.81
'นักเศรษฐศาสตร์' ชำแหละซื้อหนี้ NPLนโยบายประชานิยม เกิดวิกฤติสถาบันการเงิน หายนะในอนาคต
รศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ความเห็นว่า นโยบายซื้อหนี้รายย่อยมองผิวเผินอาจเป็นไปเพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน แต่ความจริงแล้วจะนำมาซึ่งหายนะ
ดุสิตโพลชี้ภาพรวมคนไทยเฝ้าดูแต่ยังไม่มั่นใจต่อการเมืองไทย
สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนตุลาคม 2568” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 2,126 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 28-31 ตุลาคม 2568 พบว่า กลุ่มตัวอย่างให้คะแนนภาพรวมดัชนีการเมืองไทยประจำเดือนตุลาคม 2568 เฉลี่ย 4.02 คะแนน เท่ากับเดือนกันยายน 2568 ที่ได้ 4.02 คะแนน
โพลชี้ประชาชนชอบ 'คนละครึ่ง'
“สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “คนไทยกับนโยบายลดค่าครองชีพ” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,216 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 21-24 ตุลาคม 2568 พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เข้าร่วมโครงการของภาครัฐที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพ คือ คนละครึ่ง


